++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

การปล้นชาติ ปล้นประชาชนของ "ทักษิณ"

โดย ราวี เวียงพยัคฆ์ 1 มีนาคม 2553 17:21 น.
หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ของ
ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลง ทักษิณก็ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที
ส่วนบรรดาลูกหาบของเขาหน้าเสียตั้งแต่ที่ผู้พิพากษาแจกแจงความผิดทีละข้อที
ละประเด็น และมติที่ออกมาจากเอกฉันท์ และเสียงข้างมาก

บางคนก็น้ำตาซึม บางรายก็ปล่อยโฮออกมา บางรายก็ตีอกชกลม
พร้อมกับด่าว่ารัฐบาล ด่าว่าศาลไม่ยุติธรรมเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
และอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าพ่อแม่พวกเขาเจ็บไข้ได้ป่วย ล้มหายตายจากไป
พวกเขาจะเสียอกเสียใจขนาดนี้หรือไม่หนอ?

นี่ต้องยอมรับว่ามีผู้คนที่รักทักษิณจำนวนมากโขอยู่
มีคนที่ยอมตายเพื่อทักษิณได้ โดยที่ไม่ต้องฟังเหตุฟังผล
ฟังคำพิเคราะห์ของศาลในประเด็นต่างๆ
ที่ศาลแจกแจงให้เห็นว่าตลอดเวลาที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2544
จนถึง 2549 ทักษิณได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองอย่างไรบ้าง
สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติของเราอย่างไรบ้าง

ที่สำคัญคือ ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น
ทักษิณยังถือครองหุ้นอยู่ เป็นการซุกหุ้นภาค 2
ซึ่งเป็นความผิดอย่างหน้าด้านที่สุด
เพราะการซุกหุ้นภาคแรกก็หน้าด้านอยู่แล้ว
และรอดตัวมาเพราะศาลรัฐธรรมนูญสมัยนั้นเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณ
ทักษิณยังทำความผิดอีก โดยคิดว่าประชาชนโง่ ประชาชนไม่มีทางที่จะรู้ทัน
หรือไม่ก็คิดว่า เขาจะอยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนานไม่มีใครจะมาจับผิด
ไม่มีใครที่จะมารู้ทัน

แต่บังเอิญว่า ทักษิณโลภ ทักษิณไม่รู้จักพอ
ขายหุ้นที่ซุกเอาไว้โดยที่ไม่อยากเสียภาษี ก็ต้องขายในชื่อลูกชาย ลูกสาว
ญาติๆ ที่ใกล้ชิด (ขายในชื่อบริษัทต้องเสียภาษี) ทำให้
คตส.ตรวจสอบและเห็นเส้นทางการเงิน เส้นทางการปล้นชาติ ปล้นประชาชน

ถ้าหาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จาตุรนต์ ฉายแสง พงศ์เทพ เทพกาญจนา
นพดล ปัทมะ บริวารลิ่วล้ออื่นๆ ของทักษิณ หรือแม้กระทั่งทักษิณ
ครอบครัวของทักษิณ
ญาติวงศ์พงษ์เผ่าของทักษิณฟังคำพิเคราะห์ของศาลให้ละเอียด
และฟังอย่างมีสติก็แทบจะเอาปี๊บคลุมหัว อับอายขายหน้า
เพราะเนื้อหาของคำพิเคราะห์
กระทั่งกลายมาเป็นคำพิพากษานั้นชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
ทักษิณใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวอย่างหน้า
ด้านๆ

เป็นการปล้นชาติ ปล้นประชาชน

กระนั้นทักษิณ ลูกทักษิณ ยังหน้าด้านพูดอีกว่า
ตัวทำมาหากินอย่างสุจริต ทำงานการเมืองเพื่อประเทศชาติและเพื่อประชาชน

แล้วที่ออกพระราชกำหนดแปลงสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพ
สามิต เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นและบริษัทในเครือ

แล้วที่แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่
ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่าย
เงินล่วงหน้าให้กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส)

แล้วที่แก้ไขสัญญาโทรศัพ์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม
และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming)
และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท
เอไอเอส

แล้วที่กรณีการอนุมัติและส่งเสริมการลงทุนดาวเทียมไอพีสตาร์
โดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม
การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน
คอร์ปอเรชั่น ในบริษัท ชินแซทเทลไลท์

แล้วที่การอนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำ
เข้าแห่งประเทศไทย จาก 3 พันล้านบาท เป็น 4 พันล้านบาท
เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทเทลไลท์

เหล่านี้คืออะไร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จาตุรนต์ ฉายแสง พงศ์เทพ
เทพกาญจนา นพดล ปัทมะ
และบรรดาขี้ข้าของทักษิณทั้งหลายทั้งปวงจะอธิบายว่าอย่างไร?

อย่ามาพูด หรือสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคมเลยว่า
ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า
การออกพระราชกำหนดแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นค่าภาษีสรรพสามิต
รัฐบาลมีอำนาจออกพระราชกำหนดได้ เขาวินิจฉัยว่ามีอำนาจออกได้
เขาไม่ได้วินิจฉัยว่าพระราชกำหนดเอื้อประโยชน์ให้ใคร
หรือใครเอาพระราชกำหนดนี้ไปทำมาหากินอย่างหน้าด้านๆ

และใคร รัฐมนตรีคนไหนที่มันรับใช้ทักษิณ
ในกรณีนี้ระวังตัวไว้อาจจะต้องติดคุก
เพราะหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนี้
แล้ว ยังจะมีคดีอื่นๆ ตามมาอีก

ลูกชาย ลูกสาวทักษิณ น้องสาวทักษิณ พี่ชายเมียทักษิณ
อาจจะโดนข้อหาให้การเท็จ นอกเหนือจากลูกชาย ลูกสาว จะต้องจ่ายภาษีสรรพากร
1.2 ล้านบาท และยังมีค่าปรับอีก (หนูไม่ต้องมาทำหน้าเซ่อ
ไร้เดียงสาประหนึ่งเด็กปัญญาอ่อน ไม่เข้าใจว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ
บอกว่าหุ้นไม่ใช่ของหนู แต่เป็นของพ่อหนู แล้วทำไมจะมาเก็บภาษีเอากับหนู
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เขาไม่เชื่อว่าหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นเป็นของหนู เพราะศาลเห็นว่า
พ่อหนูมีเจตนาลวง ศาลเขาจับได้ ก็จากคำให้การของหนูนั่นแหละ
จำไม่ได้หรือที่หนูให้การกับศาลว่า นั่นก็เงินแม่ นี่ก็เงินแม่
ส่วนสรรพากรเขามีหน้าที่เก็บภาษี หุ้นเป็นชื่อใคร เขาก็เก็บกับคนนั้น
เป็นหน้าที่ของหนูที่จะไปไล่เบี้ยเอากับพ่อขี้โกงของหนูที่มาทำให้หนูเดือด
ร้อน เข้าใจไหมจ๊ะ)

นับจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น?

หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำ
พิพากษาไปแล้ว มติเอกฉันท์ของศาลบอกว่า หุ้นทั้งหมดเป็นของทักษิณ
ซุกไว้กับลูกชาย ลูกสาว น้องสาว พี่เมีย ทักษิณก็จะต้องโดนเล่นงาน
การซุกหุ้นภาค 2 ต่อไป หลังจากที่หลุดคดีซุกหุ้นภาคแรกไปอย่างหน้าด้านๆ
มีอำนาจ 5-6 ปีในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยออกมานี้
ประเด็นที่ปล่อยกู้พม่า 4 พันล้านบาทเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท
ชินแซทเทลไลท์นั้น เป็นคดีค้างศาลอยู่

นี่เป็นที่น่าหวาดเสียวว่า
ทักษิณจะต้องเจอคุกอีกคดีหนึ่งในจำนวนอีกหลายคดีที่จะต้องตามมา
โอกาสจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหมดไปแล้ว เพราะคนที่ถูกยึดทรัพย์สมัคร
ส.ส.ไม่ได้ตลอดชีวิต

เว้นแต่ที่จะแก้กฎหมายอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ม้าใช้ของทักษิณออกมาโฆษณาว่า นี่จะเป็นนโยบายของพรรคคือ นำทักษิณกลับ
และจะนำกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี

เอาเถอะ! ถ้าหากประเทศไทยจะโชคร้ายขนาดนั้น

ทักษิณ และบรรดาขี้ข้าม้าใช้ของทักษิณ
มักจะพูดหรือโฆษณาชวนเชื่ออยู่เสมอว่า
วิบากกรรมของทักษิณนั้นมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ถูกต้องแล้วครับ

เพราะถ้าหากไม่มีการยึดอำนาจทักษิณ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ทักษิณก็จะยังก่อกรรมทำเข็ญ ปล้นชาติ ปล้นประชาชนต่อไป
ทักษิณที่รวยแล้วก็จะรวยต่อไปอีก
ยังจะหาเงินให้ครอบครัวได้อีกด้วยการใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ยังจะเป็นเสมือนเจ้ามือหวย 2 ตัว 3 ตัวต่อไป
(เพราะรายได้ไม่ได้เอาเข้าคลัง)
ยังจะซื้อขี้ข้ามาใช้ได้อีกเป็นจำนวนมากไว้รับใช้ ไว้สนับสนุนตัว

เชื่อเถอะครับว่า ต่อจากนี้ทักษิณจะต้องดิ้นทุรนทุราย
สติที่แตกไปแล้วจะแตกหนักย่อยยับไปอีก
เหตุการณ์ป่วนบ้านป่วนเมืองอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อเดือนเมษายนปีที่
แล้วอาจจะเกิดขึ้นได้ รัฐบาลอย่าได้ประมาท

แต่ก็อีกนั่นแหละ บรรดาผู้ที่หลงใหลคลั่งไคล้กับทักษิณ
อ่านคำพิพากษา ใช้เหตุ ใช้ผล ใช้สติ ใช้ความคิด
ก็อาจจะกลายเป็นบัวโผล่พ้นน้ำ ไม่เป็นอาหารของปลาของเต่าได้

ไม่มีใครสั่งผู้พิพากษาได้หรอกครับ แม้แต่ประธานศาลฎีกา

ท่าน ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั่นยิ่งไม่มีทาง
หนึ่งในองค์คณะเคยยกฟ้องคดีที่ พล.อ.เปรมเป็นเจ้าทุกข์มาแล้ว
เมื่อหลายปีก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น