++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

ทฤษฎียูเอฟโอชนดาวหาง


30 มิถุนายน พ.ศ.2451 หรือราว 96 ปีก่อน เกิดอภิมหาปรากฏการณ์ประหลาด เปลวไฟประลัยกัลป์สว่างวาบปกคลุมท้องฟ้าเหนือแคว้นไซบีเรียของรัสเซีย ติดตามด้วยการระเบิดปานฟ้าถล่ม ด้วยพลังงานเท่าๆกับระเบิดปรมาณูนับ 1,000 ลูก


ผืนป่า (ไทก้า) หลายร้อยตารางกิโลเมตร บริเวณลุ่มแม่น้ำ พ็อดกาเมนนายา ทังกัสกา ในภูมิภาคคราสโนยาร์สค์ของแคว้นไซบีเรียอันห่างไกลผู้คนถูกเปลวอัคคี และแรงระเบิดกวาดหายวับไปกับตา


ประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลออกมานึกว่าเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เพราะแรงสั่นสะเทือนอันมหาศาล ทำให้ผู้คนและสัตว์เลี้ยงล้มร่วงระเนนระนาด บ้านเรือนจำนวนมากพังทลาย


แต่จากการเข้าไปตรวจสอบหลายครั้งในเวลาต่อมา ไม่พบหลักฐานอะไร รวมทั้งเศษชิ้นส่วนของ อุกกาบาต แม้แต่ชิ้นเดียว นักวิทยาศาสตร์ ผู้งุนงงจึงได้แต่สรุปคร่าวๆว่า ปรากฏการณ์นี้น่าจะเกิดจากแกนกลาง (core) ของ ดาวหาง หรือ ดาวเคราะห์น้อย ระเบิดกลางอากาศขณะพุ่งเข้าชนโลก


แต่ข้อสรุปดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นใดๆสนับสนุนจนถึงบัดนี้ เรื่องนี้จึงเป็นหนึ่งใน ปริศนาแห่งวงการวิทยาศาสตร์โลก อันยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา


จู่ๆ ผมหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวก็เพื่อจะบอกว่า ขณะนี้ปริศนาที่ว่าถูกแง้มออกมาแล้วครับ แม้จะยังไม่ ชัวร์ และพิลึกพิลั่น แต่ก็มีหลักฐานสนับสนุนเป็นครั้งแรก


นายยูริ ลาฟบิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวรัสเซีย ทุ่มเทชีวิตค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มาตลอด 12 ปีหลัง โดยตั้ง มูลนิธิปรากฏการณ์ทางอวกาศทังกัสกา ขึ้นมาที่เมืองคราสโนยาร์สค์ ประกอบด้วยทีมงาน 15 คน รวมทั้งนักธรณีวิทยา นักเคมีวิทยา นักฟิสิกส์วิทยา ไปจนถึงนักสินแร่วิทยา


พวกเขาบุกบั่นเข้าไปศึกษาบริเวณนั้นอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว และสัปดาห์ก่อนนี่เองก็ประกาศทฤษฎีใหม่ว่า ปรากฏการณ์ทังกัสกาเกิดจากการพุ่งชนกันระหว่าง ดาวหาง กับ ยานอวกาศจากต่างดาว หรือ ยูเอฟโอ (Unidentified Flying Object) ที่เหนือพื้นผิวโลกราว 10 กม.


หลักฐานชิ้นเด็ดที่ขุดพบหมาดๆ ระหว่างหมู่บ้าน 2 แห่งเมื่อเดือนที่แล้ว คือหินสีดำประหลาด 2 ก้อน รูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ขนาดกว้างยาวราว 1 เมตรครึ่ง (5 ฟุต) สภาพเก่าแก่และถูกเผาไหม้เกรียม


จากการวิเคราะห์พบว่า มันไม่ใช่หินตามธรรมชาติในภูมิภาคนั้นอย่างแน่ชัด แต่มีมวลสารเป็นโลหะผสม อัลลอย (alloy) ที่ใช้สำหรับสร้างจรวดหรือยานอวกาศเท่านั้น เพราะมีความแข็งแกร่งมาก


และที่สำคัญ เมื่อ 96 ปีก่อน หรือช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โลกของเรายังไม่มียานอวกาศ แม้แต่เครื่องบินที่เพิ่งประดิษฐ์ขึ้นได้ใหม่ๆ ก็ยังใช้ไม้อัดทำอยู่เลยครับ ถ้าหินสีดำรูปลูกบาศก์ที่ถูกตัดเป็นแท่งอย่างประณีตนั้นฝังอยู่ตั้งแต่ยุคนั้น มันน่าจะเป็นชิ้นส่วนของยูเอฟโอจากดาวดวงอื่นที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าโลกเรามาก


พวกเขายังค้นพบหลักฐานอื่นๆ รวมทั้งหินสีขาวประหลาดขนาดใหญ่เท่าๆกระท่อมชาวนา ฝังจมอยู่บนชะง่อนผากลางป่าที่ถูกทำลายราบนั้น ชาวพื้นเมืองเรียกกันว่า หินเรนเดียร์ มีมวลสารเป็นผลึกใส และมันก็ไม่ใช่หินในย่านนั้นอย่างแน่นอน จึงคาดว่าจะเป็นเศษแกนกลางของดาวหาง


ภาพถ่ายจากดาวเทียมยังแสดงให้เห็นแนวที่ลุ่มและทะเลสาบเป็นทางยาว ซึ่งอาจเป็นร่องรอยจากการที่ซากยูเอฟโอขนาดมหึมาพุ่งตกและครูดไถลไปกับพื้นผิวโลก ส่วนภาพป่าที่ทลายราบ ต้นไม้ถูกเผาไหม้เกรียม หินป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย อาจเกิดจากเศษแกนกลางดาวหางพุ่งชน


นักวิทยาศาสตร์นานาชาติหลายกลุ่มเห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ครับ แต่บางกลุ่มตั้งข้อสงสัยว่า หลักฐานที่พบอาจมีคนทิ้งไว้ในยุคหลังๆนี่เอง เนื่องจากมีนักวิจัยสมัครเล่นมากมายเข้าไปสำรวจบริเวณนั้น นอกจากนี้ พวกนักธรณีวิทยาที่เข้าไปทำงานด้านเหมืองแร่ในไซบีเรียก็อาจทิ้งชิ้นส่วน เครื่องจักรกลต่างๆไว้


เรื่องนี้คงต้องวิจัยเพิ่มเติมกว่าจะสรุปได้ว่าจริงหรือแหกตา แต่ถึงแม้หลายคนจะหัวเราะก๊าก เห็นว่าบ้าบอ...ดาวหางชนกับยูเอฟโอเนี่ยนะ? แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่ขอภาวนาให้ใครก็ได้ค้นพบ ยูเอฟโอ จริงๆด้วยเถิดจะได้หายข้องใจกันเสียที


เพราะยามจิตใจตกอยู่ในภวังค์หนึ่ง แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เห็นหมู่ดาวระยิบระยับสุดคณานับทีไร ใจอดคิดล่องลอยไปไม่ได้ทุกทีว่า มนุษย์เรามีต้นกำเนิดมาจากไหนกันแน่ และในหมู่ดาวอันไกลโพ้นเหล่านั้น มีสิ่งมีชีวิตอื่นที่คล้ายเราหรือแตกต่างจากเราอยู่หรือไม่หนอ?


หลายคนก็คงเหมือนผม อยากรู้ความจริงอันนี้ก่อนสิ้นลมหายใจ!!!


บวร โทศรีแก้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น