++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

เทคนิค "สร้างกำลังใจ" ในวันหดหู่



อยากบอกทุกคนว่า...ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครไม่เคยล้มหรือผิดหวังนะคะ สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า
เมื่อเราล้มแล้ว เราพร้อมที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อไหม อย่าหมดหวังค่ะ กำลังใจไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลค่ะ มันสร้างได้จากตัวเราเอง
เหมือนกับคำที่ว่า..."สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร" และ "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"

1. อย่าโทษตัวเอง

นำข้อนี้มาวางไว้เป็นข้อแรก เพราะการโทษตัวเองเป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้ซึ่งเผชิญหน้ากับความผิดหวัง - ความเศร้าหมองมักทำก่อนข้ออื่น ๆ
ดังนั้น หากสามารถเลิกโทษตัวเองได้ คน ๆ นั้นก็จะสามารถก้าวข้ามความตึงเครียดที่เผชิญอยู่ไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ใน ที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น
หากผู้ที่กำลังทุกข์มองว่าภาวะดังกล่าวก็ไม่แตกต่างจากการเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็ง ที่ต้องการการปรับปรุงเปลี่ยนวิถีชีวิต
หรือมุมมองก็จะทำให้เขารับมือกับภาวะซึมเศร้านี้ได้ง่ายมากขึ้น

2. หาใครสักคนเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ

แม้ปัญหาที่ถาโถมเข้ามาจะไม่เหมือนกับอาการขาหัก - แขนหักที่ทุกคนมองเห็นและพร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ในยามนี้
การมีใครสักคนให้เราได้ปรึกษาสามารถช่วยให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นเร็วกว่าการ เก็บความทุกข์เอาไว้กับตัวเองคนเดียวอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี การจะหาคนปรึกษาในยุคนี้อาจต้องทำความเข้าใจด้วยว่า คนบางคนก็ไม่พร้อมจะรับฟังและให้การสนับสนุนคุณ
แถมบางครั้งอาจไม่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นเสียอีก ในกรณีนี้ ลองมองหาคนสนับสนุนที่สามารถให้ความรักคุณได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เช่น
พ่อแม่ สามี-ภรรยา หรือเพื่อนสนิทที่รู้จักนิสัยคุณดีมาเป็นผู้รับฟัง เพราะเขาเหล่านั้นอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตคน ๆ หนึ่งจะพึงมี

3. เลื่อนการตัดสินใจออกไปก่อน

หากตอนนี้คุณมีอาการซึมเศร้าอยู่และต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญ คำแนะนำที่จำเป็นก็คือ พยายามเลื่อนการตัดสินใจนั้นออกไปก่อน
เพราะความรู้สึกหดหู่สามารถส่งผลกระทบต่อมุมมองและการตัดสินใจของตัวบุคคล นั้น ๆ ให้เป็นไปในแง่ลบได้ ดังนั้น การรีบตัดสินใจ
เรื่องใหญ่ ๆ หรือเรื่องสำคัญในตอนนี้ดูจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะอาจทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงกว่าที่ควรจะเป็น
จึงควรยืดการตัดสินใจต่าง ๆ ออกไปจนกว่าจิตใจของคุณจะดีขึ้นแต่หากการตัดสินใจนั้นต้องทำโดยเร่งด่วน
หรือไม่สามารถผัดผ่อนออกไปได้ ก็ควรขอคำแนะนำจากกัลยาณมิตร หรือคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเพื่อพิจารณาร่วมด้วย
จะช่วยให้การตัดสินใจนั้น ๆ เกิดขึ้นบนมุมมองที่มีความหลากหลายมากขึ้น
1+5มค++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
-วันหนึ่งครูใหญ่เดินเข้ามาในห้องเรียน แล้วยกกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ขึ้น บนกระดาษมีจุดสีดำเล็ก ๆ จุดหนึ่งอยู่ที่มุม
"นักเรียนเธอเห็นอะไร"ครูถาม พวกเราตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า "จุดดำ จุดหนึ่งครับ" แล้วครูก็พูดว่า
"ถ้างั้นไม่มีใครเห็นกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่นี้เลยใช่ไหม อย่าให้มีทัศนคติ แบบนี้ติดตัวเมื่อโตขึ้นนะ...โคฟี่ อันนาน
2+7มค+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อนุสรณ์แห่งความล้มเหลว

มีชายคนหนึ่ง พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบเขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะอายุ 16 ปี ตอนอายุ 17 ปี
เขาแสดงความสามารถพิเศษด้วยการตกงานติดต่อกันถึง 4 ครั้งเขาแต่งงานตอนอายุ 18 ปี ปีถัดมาเขาได้เป็นพ่อคน แต่ชีวิตคู่ของเขา
ก็มีความสุขอยู่ได้ไม่นานนัก อายุ 20 ปี ภรรยาของเขาพาลูกสาวหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตกับเขาไม่ได้ช่วงอายุ 18-22 ปี เขาประกอบอาชีพ
เป็นคนขายตั๋วรถไฟแล้วก็ล้มเหลวแต่เขาก็ยังต่อสู้กับชีวิตด้วยการหาโอกาสให้ชีวิต แต่ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่วายล้มเหลวเหมือนเดิม
เขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ก็ถูกขับออกมาหันเหมาสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่ด้วยความสามารถอันเอกอุ เขาถูกปฏิเสธ
อย่างไม่ใยดีแล้วเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานขายประกัน แน่นอนที่สุดเขาล้มเหลวอีกครั้ง (แล้ว)
แค่เกริ่นมาข้างต้นก็คงไม่ต้องบอกว่า ชายคนนี้ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง !แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราอะไรมันจะไม่ได้เรื่อง
ไปเสียหมดสิ่งเดียวที่เขาพบว่า เขาทำได้ดีก็คือ การทำอาหารดังนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นพ่อครัวและคนล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทรงคุณค่าอะไรเลยในความคิดของเขาชีวิตที่ร้านกาแฟ เขามีเวลามากมายที่จะนั่งคิดและทำอะไรได้มากพอสมควร
แต่เขากลับเลือกใช้เวลานั่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขาเขาเพียรพยายามติดต่อภรรยาและอ้อนวอนให้เธอกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง

แต่ได้รับคำปฏิเสธ
เขาเปลี่ยนความคิดใหม่ เขาไม่ต้องการภรรยาอีกต่อไป ขอเพียงแต่ได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอเพราะเขารักและคิดถึงเธอเหลือเกิน
เขาใช้เวลาว่างในร้านกาแฟวางแผนในการนำลูกสาวกลับคืนมาสู่อ้อมอกของตนเขาวางแผนทุกขั้นตอนละเอียดยิบ คำนวณทุกฝีก้าว
ในที่สุดแผนการอันแสนยาวนานก็เสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ คุณพ่อวัยรุ่นผู้น่าสงสารซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้นอกบ้านหลังเล็กๆ
ของภรรยาของเขาเฝ้ามองลูกสาวของเขาเล่นอยู่หน้าบ้านและเตรียม พร้อมที่จะ “ลักพาตัวเธอ!”แล้ววันที่ตั้งใจไว้ก็มาถึง เขาซ่อนตัวอยู่
หลังพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง แม้จะรู้สึกกังวล ตื่นเต้น และตระหนกอยู่บ้างแต่นั่นมิอาจเทียบได้กับความรักที่เขามีต่อลูก เขาตัดสินใจที่จะต้อง
ลงมือทำให้สำเร็จ แต่แล้วอนิจจา

วันนั้นลูก สาวของเขาไม่ออกมาเล่นหน้าบ้านเลยแม้กระทั่งความพยายามในการก่ออาชญากรรม เขาก็ยังล้มเหลวเขารู้สึกเหมือนคนที่
พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา รู้สึกเหมือนคนไม่มีค่าและเหมือนพระเจ้ากำหนดมาแล้วว่าเขาจะต้องอยู่เพียงลำพังไปตลอดชีวิตแต่เหมือนปาฏิหาริย์
ในที่สุดเขาก็สามารถโน้มน้าวภรรยาให้กลับมาอยู่ด้วยกันได้พวกเขาทำงานด้วยกันในร้านกาแฟแห่งนั้น ทำอาหารและล้างจานอยู่จนกระทั่ง
เขาเกษียณ ตอนอายุ 65 ปี
วันแรกของการเกษียณอายุ เขาได้รับเช็คเงินประกันสังคมฉบับแรกของเขา เป็นเงิน 105 ดอลลาร์(ราวสี่พันบาท)
เช็คดังกล่าวเหมือนเป็นตัวแทนของรัฐที่ฝากมาบอกเขาว่า เขาไม่อาจจะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือใช้ชีวิต
อยู่จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกปฏิเสธ ล้มเหลว เสียกำลังใจ
และท้อแท้ชีวิตของเขาได้รับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่งหลังจาก 65 ปีอันยาวนานเขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ได้
ต้องมีชีวิตอยู่โดยให้รัฐบาลดูแลเขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอีกต่อไป เขาตัดสินใจ (อีกแล้ว) ว่า “จะฆ่าตัวตาย”

เขานั่งครุ่นคิดกับตัวเองอย่างจริงจัง มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้
บางอย่างที่คนที่รอบตัวทำสู้เขาไม่ได้ ใช่ ! เขารู้วิธีปรุงอาหารชีวิตเกือบทั้งหมดของเขา
อยู่ที่หน้าเตาร้อนๆ มาตลอด เขาตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งในที่สุดเขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่
เพื่อทำอะไรสักอย่างในชีวิตให้ประสบความสำเร็จเขาตั้งใจว่าถ้าเขาจะตาย
เขาก็อยากจะตายในแบบที่ได้ลองพยายามเป็นใครสักคนและทำบางสิ่งบางอย่างที่มีค่า
ด้วยชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดของเขาเขาลุกจากเงาไม้ มุ่งหน้าไปยังธนาคารในเมือง
เพื่อขอยืมเงินจำนวน 87 ดอลลาร์จากเช็คประกันสังคมฉบับต่อไปของเขาด้วยเงิน 87 ดอลลาร์นั้น เขาซื้อกล่องเปล่าและไก่จำนวนหนึ่ง

จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านและลงมือทอดไก่ที่ซื้อมาด้วยสูตรพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ทำงานที่ร้านกาแฟนั้น
เขาเริ่มขายไก่ทอดของเขาตามบ้านต่างๆ ในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตั๊กกี้ของเขาแล้วคนขายไก่ทอดอายุ 65 ปีคนนั้นก็กลายมาเป็นผู้พัน
ฮาร์แลนด์ แซนเดอร์สราชาผู้เป็นที่รักของอาณาจักร Kentucky Fried Chicken หรือที่เรารู้จักกันในนาม KFC นั่นเองตอนอายุ 65 ปี
เขาเป็นเหมือนอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต แต่ในวัย 85 ปีเขาก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
มีผู้คนให้เกียรติเขาทั่วประเทศ

เรื่องราวชีวิตของผู้พันแซนเดอร์ส เป็นอีกบทหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จที่ได้รับคำยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่ใครจะรู้บ้างว่า
หากใต้ต้นไม้วันนั้นผู้พันแซนเดอร์สได้ทำตามที่เขาตั้งใจไว้แต่แรกตำนานไก่ทอดสะท้านโลกก็คงจะไม่มีให้เราได้เห็นกัน จริงอย่างที่
เขาว่า ความสำเร็จกับความล้มเหลวห่างกันเพียงแค่พลิกฝ่ามือมันอยู่ที่ว่าคุณเลือกที่จะ “สู้ต่อ” หรือ “ยอมแพ้”

สำหรับผู้พันแซนเดอร์ส 65 ปี
ของชีวิตที่ล้มเหลว

เทียบคุณค่าอะไรไม่ได้เลยกับ 20
ปีแห่งความสำเร็จ

แล้วชีวิตของคุณหละ
ล้มเหลวมากพอหรือยัง ?

ที่มาขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสาร Financial Freedom ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: wiki

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น