“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ได้ไหม ฉันกำลังโมโหอยู่” ทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดเช่นนี้ทุกท่านจะรู้ได้ทันทีว่าคนพูดอยู่ในช่วงเสวยทุกขเวทนาที่เกิดจากอารมณ์โกรธ แต่ท่านเคยตั้งข้อสงสัยหรือเปล่าว่า การใช้คำว่า โมโห บอกถึงอารมณ์โกรธนั้น เป็นการสื่อความหมายที่ถูกหรือผิด สำหรับอาตมาเคยคิดว่าเป็นการใช้คำที่ผิด เพราะคำว่า โมโห มาจาก โมหะ ซึ่งแปลว่า ความเขลา ความหลง อันหมายถึงความหลงผิด หรือเข้าใจผิด อันเกิดขึ้นเพราะขาดการใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆจนเข้าถึงความจริงอย่างถ่องแท้ เป็นเหตุให้ไม่เชื่อเรื่อง บุญ บาป กรรมและการให้ผลของกรรม รวมถึงการไม่รู้ ไม่เข้าใจ ปรากฏการณ์ทางอารมณ์ที่มากระทบกับจิตตามความเป็นจริง จนทำให้ไม่รู้จัก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค แต่คนโดยทั่วไปจะเข้าใจความหมายของโมหะในความหมายว่า “ความโง่” ดังนั้นการใช้คำนี้สื่อถึงอารมณ์โกรธจึงน่าจะไม่ถูกต้อง เพราะมีความหมายไม่ตรงกับสภาวะความจริง จะทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และเป็นผลเสียต่อพระพุทธศาสนาได้
แต่เมื่อมองในอีกมิติหนึ่ง การใช้คำนี้นอกจากไม่ผิดแล้ว ยังได้สื่อให้เห็นถึงกุสโลบายอันลึกซึ้งของคนสมัยก่อนที่ต้องการใช้คำพูดชี้ให้เห็นว่า โมหะ คือต้นตอของความโกรธที่กำลังเกิดขึ้น ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ ความโกรธเกิดจากการขาดสติขณะรับอารมณ์ทางประสาทสัมผัส ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เมื่อตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง หากเป็นรูปหรือเสียงที่ไม่ชอบใจหรือไม่ได้ดั่งใจเราก็จะโกรธ ทั้งนี้เพราะหลงไปตามอำนาจของกิเลสที่ปรุงแต่งจิตให้โกรธ หรือตามไม่ทันการปรุงของกิเลส ดังนั้น เมื่อเกิดความโกรธขึ้น การพูดว่า โมโห จึงเป็นการสื่อความหมายให้รู้ว่า กำลังโง่ คือโง่กว่าอารมณ์ที่มากระทบ หรือโง่กว่ากิเลสที่ปรุงแต่งจิตนั้นเอง การพูดคำนี้ออกมาทำให้เห็นถึงกิเลสสองประเภทที่ทำหน้าที่เกี่ยวเนื่องกันในขณะนั้น กริยาอาการภายนอก เช่นหน้าแดง หูอื้อ ตาลาย มือ เท้า หรือปากสั่น แสดงให้เห็นถึง โทสะ คือความโกรธที่เกาะกุมจิตใจแล้วกระตุ้นให้ร่างกายแสดงกิริยาอาการดังที่กล่าวออกมา คำพูดที่เปล่งออกมาว่าโมโห บอกให้รู้ถึงสาเหตุหลักคือความโง่ของจิตที่ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ที่มากระทบ โกรธมากก็โง่มาก โกรธบ่อยก็โง่บ่อย
หากกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว กิเลสทุกประเภททั้งความโลภ ความโกรธ ความอิจฉา ริษยา ความอาฆาต พยาบาท ฯลฯ ที่สามารถปรุงจิตให้มีอาการต่างๆจนประสบกับความทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ก็เพราะมีอวิชชาหรือโมหะ คือความเขลา ความโง่ หรือการไม่รู้ตามสภาพความเป็นจริงเป็นต้นเหตุ ดั่งคำที่หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า “ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะเห็นผิดเมื่อผัสสะ ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ”
วิธีป้องกันไม่ให้โมหะเป็นต้นเหตุให้จิตเราเป็นทุกข์เพราะอารมณ์โกรธหรืออารมณ์อื่นๆนั้น ต้องอาศัย ปัญญา คือ การพิจารณาสิ่งต่างๆจนรู้และเข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง ซึ่งจะเป็นการสกัดการทำหน้าที่ของโมหะ เช่น เมื่อตาเห็นรูปแล้วมองเห็นสภาวะความเป็นจริงว่า รูปทั้งสวยและไม่สวยเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุทั้งสี่ เป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนที่มั่นคงถาวร ย่อมแตกสลายไปในที่สุด ไม่อาจยึดครองเป็นเจ้าของได้ เมื่อเห็นกระจ่างเช่นนี้ ความใคร่อยากเป็นเจ้าของรูปที่สวยงาม หรือความโกรธ ไม่พอใจเมื่อเห็นรูปที่น่าเกลียดก็จะไม่เกิดขึ้น จิตใจก็จะสงบไม่ถูกบีบคั้นทำร้ายให้เป็นทุกข์ด้วยกิเลส และสิ่งที่จะช่วยเสริมการทำหน้าที่ของปัญญาให้สมบูรณ์มากยิ่งก็คือสติและสัมปชัญญะ เพราะเมื่อใช้ชีวิตบนครรลองของการระลึกรู้อยู่ทุกขณะปัญญาก็พิจารณาไดทันเกมส์ของกิเลส หากขาดสติถึงมีปัญญามากก็ไร้ประโยชน์
ดังนั้น ผู้ที่ไม่ต้องการให้โมหะบงการชีวิต ก็จงหมั่นใช้ปัญญาบริสุทธิ์พิจารณาให้เข้าถึงสภาวะความเป็นจริงของสรรพสิ่งรอบตัว โดยใช้การเจริญสติทุกขณะการดำเนินชีวิตเป็นพลังคอยเกื้อกูลสนับสนุน เสียงประจานตัวด้วยถ้อยคำที่น่าสังเวชใจที่ว่า “ฉันกำลังโมโห” ก็จะค่อยๆจางหายไป เพราะถูกแทนที่ด้วยเสียงแห่งบรมธรรมที่ว่า “สุข สงบ เย็น”...เจริญพร ...อคฺคธมฺโมภิกขุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น