++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความเพื่อสุขภาพที่ดี


 บทความเพื่อสุขภาพที่ดี

ปีใหม่นี้ ท่านให้ของขวัญอะไรแก่ตัวเองบ้าง? ( บทความปีใหม่ มอบเป็นของขวัญเพื่อสุขภาพ แด่ คนไทยทุกคน จาก หมอแดง ดิ อโรคยา )


สวัสดีปีใหม่ครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนอื่นก็ต้องอวยพรกันก่อน ขอให้ทุกท่านมีความสุข
คิดหวังสิ่งใดก็ได้สมปรารถนา ที่สำคัญขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัย โดยถ้วนหน้ากันนะครับ

ทุกท่านคงจะได้รับของขวัญปีใหม่กันมากบ้างน้อยบ้าง บางท่านก็ไม่อยากได้ของอะไรนักหรอก ขอเพียงได้เห็น
ลูกหลาน มาพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ กอดท่านสักนิด ท่านก็คงชื่นใจมากกว่าของขวัญชิ้นใดๆ
***และท่านมีความคิดที่จะให้ของขวัญกับร่างกายอวัยวะตับ ไต หัวใจ ปอดหรืออวัยวะอื่นๆบ้างไหม อย่าลืมนะว่า ท่านใช้เขามาตลอดทั้งชีวิตของท่านเคยคิดจะตอบแทนบุญคุณ บ้างหรือเปล่า

ร่างกายและอวัยวะของเราทำงานมาตลอดไม่เคยหยุด ถ้าหยุดก็คงแย่นะครับ
ปีใหม่นี้ เป็นฤกษ์งามยามดี เรามาเริ่มต้นดูแลร่างกายของเรา รักเคารพร่างกายของเรา ไม่ใช้งานหนักๆ โดยไม่พักผ่อนหรือเลี้ยงบำรุงให้แข็งแรง อะไรที่เป็นตัวทำร้ายร่างกายของเรา ก็อย่ากินอย่าทำ ออกกำลังเพื่อให้เลือดสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายให้แข็งแรง

- ปีใหม่นี้เรามาพาปอดไปหาอากาศดีๆ ฟอกหน่อยเป็นไง ปีก่อนๆ เคยออกกำลังบ้างหรือเปล่า ถ้ายังไม่เคยออก ก็ลองตัดสินใจว่าต่อไปนี้ เราจะตื่นแต่เช้า เพื่อไปออกกำลังสูดอากาศยามเช้า จะได้รู้ได้สัมผัสธรรมชาติตอนเช้าว่า มันสดชื่นแค่ไหน ลมพัดเบาๆ กลิ่นดอกไม้ยามเช้ายังส่งกลิ่นหอมชื่นใจ เสียงนกร้องช่างไพเราะ แสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าที่ส่งทอดพลังสุริยปราณมาสู่ตัวเราๆ จะมีพลังที่จะทำงานต่อไปอย่างสดชื่น เป็นของขวัญอีกชิ้นที่ให้แก่ร่างกาย

- คุณนอนดึกไปหรือไม่ที่ผ่านมา ปีใหม่นี้ปรับเปลี่ยนกันหน่อยดีไหมเพราะการนอนดึกทำให้ร่างกายเราทรุดโทรม ต้องทำงานหนักไม่ได้พักผ่อน กระเพาะ ม้าม ตับ ไต หัวใจ ปอด ทำงานจนหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ ***โดยเฉพาะเวลา 23:00 น. - ถึง 3:00 น. เป็นเวลาที่ลมปราณ (พลังชีวิต) เคลื่อนผ่านถุงน้ำดี และ ตับ ซึ่ง ตับและ ถุงน้ำดีจะช่วยกันกำจัดไขมัน และ สารพิษออกจากร่างกาย คนที่ไม่พักผ่อนเวลานี้แถมใช้ตับทำงานเพิ่ม(ดื่มพิษแอลกอฮอล์ เข้าไปอีก) ชีวิตนี้คงหาสุขภาพดีค่อนข้างยาก

- ตื่นเช้าดื่มน้ำ 2-5 แก้ว โดยเฉพาะเวลา 5:00 น. - 7:00 น. เป็นเวลาที่ลมปราณผ่านลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นกระบวนการเร่งขับของเสียออกจากลำไส้ใหญ่ ถ้าลำไส้แห้งขาดน้ำ อุจจาระก็จะแห้งติดลำไส้ขับถ่ายไม่ออก ฉะนั้นตื่นเช้ามาต้องดื่มน้ำเพื่อเป็นการชำระล้างของเสีย และ สารพิษออกจากร่างกาย เหมือนเราขัดห้องน้ำ ขัดเสร็จก็ต้องเอาน้ำราดไล่ของเสียออกไป

- การทานอาหารเช้า ควรทานช่วงเวลา 7:00 – 9:00 น. เป็นช่วงเวลา 2 ชั่วโมง อันมีค่าในการย่อยอาหารของร่างกาย เพราะเป็นเวลาของลมปราณกระเพาะอาหารตามนาฬิกาชีวิต อาหารเช้าเหล่านี้ จะถูกน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่เป็นกรด ย่อยจนขนาดเล็กลง และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด สร้างพลังงานให้เราทั้งวัน **ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าทั้งวัน การันตีโดยพระสายปฏิบัติทั่วประเทศ ท่านฉันมื้อเดียวก็อยู่ได้ทั้งวันแถมยังต้องใช้แรงเดินทางไกลบิณฑบาต ไม่ได้นั่งขยับแค่นิ้วมือเหมือนคนเมืองเสียด้วย
***ส่วนใครที่ไม่ค่อยทานอาหารเช้า หรือ ชอบทานอาหารแบบรวบยอดทีเดียวตอนเที่ยง สังเกตได้ว่าริมฝีปากจะไม่ค่อยมีสีเพราะเม็ดเลือดน้อย ลิ้นไม่มีเลือดฝาด ริมฝีปากบนแห้ง ง่วงนอนง่าย ออกกำลังกายแล้วมึนศีรษะ และมีอาการอยากทานกาแฟหรือของหวานเพราะขาดพลังงาน ต้องใช้ตัวช่วย บางท่านก็ติดกาแฟไปเลยทานกันแก้วต่อแก้ว

- ดื่มน้ำให้ถูกเวลา ก่อนและหลังอาหาร 20 นาทีไม่ควรดื่มน้ำเยอะ การดื่มน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นการดื่มน้ำที่ผิดเวลาอย่างมาก และเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้
ถ้าท่านดื่มน้ำก่อนทานอาหาร น้ำที่ท่านดื่มเข้าไปมันก็ไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ก็ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี เกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหาร พอเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหารเมื่อไหร่ก็เกิดพิษในร่างกายขึ้นมาเมื่อนั้น พิษที่เกิดขึ้นมาก็เป็นสาเหตุอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย

- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะลงไปดับไฟย่อยอาหารจนหมด อาหารจึงไม่ย่อยหมักหมมจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมาเผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปากเหม็นไปตามๆกัน

- หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาล สารแต่งสี แต่งรส แต่งกลิ่น สารกันเยือกแข็ง โดยเฉพาะน้ำตาลที่มีมากถึง 7- 8 ช้อนชาต่อขวด(ปกติแล้วเรากินน้ำตาลได้ไม่ควรเกิน 7 ช้อนชา) ซึ่งน้ำตาลก็เป็นอาหารของเชื้อโรค เชื้อราต่างๆ (สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวานมากๆ จะมีอาการคัน เนื่องจากเชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก) อีกทั้งสารกันเยือกแข็งในน้ำอัดลมที่ดื่มพร้อมกับน้ำแข็ง ก็ยิ่งเข้าไปทำลายไฟในการย่อยอาหารหมด เมื่ออาหารย่อยไม่ได้ก็กลายเป็นแก๊สพิษสารพิษเต็มตัวเข้าไปอีก

- หลีกเลี่ยงนมวัว นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว เนื่องจากโครงสร้างที่แตกต่างกัน ลูกวัวแรกเกิดมีน้ำหนักถึง 40 กิโลกรัม เพียงแค่ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2-3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก และด้วยความแตกต่างที่เกินสมดุลย์ในมนุษย์ที่ดื่มนมวัว จึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมามากมายจากสภาวะเกินสมดุลย์เช่น ภูมิแพ้ และ มะเร็งเตานม ***(เคซีน ที่เป็นโปรตีนในนมเนย ดูดซึมยากมาก มันจะเกาะตัวเคลือบอยู่ในสภาพที่ย่อยไม่ได้ตามผนังกระเพาะ และ ลำไส้ แล้วพากันบูดเน่ากลายเป็นสารพิษที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร รวมทั้งตับอ่อนน้ำดีเสื่อมลง ก่อให้เกิดมูกเมือกทั่วไป)

- รับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เพราะมนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ ควรกินอาหารประเภท ผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช เพราะลำไส้มนุษย์มีลำไส้ที่ยาวมากกว่าสัตว์กินเนื้อมาก แต่มีน้ำย่อยที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าสัตว์กินเนื้อถึง 20 เท่า การกินเนื้อสัตว์จึงทำให้เกิดเศษอาหารตกค้างและเน่าเสียอยู่ในร่างกายมากกว่าการทาน ผัก ผลไม้ และธัญพืช

ท่านลองเลือกใช้สักวิธีตามที่ผมแนะนำไป มอบสิ่งดีๆให้ร่างกายเราบ้าง เขาจะได้อยู่ให้เราใช้ได้นานๆ เหมือนดังคำว่า
“สุขภาพที่ดีไม่มีขาย อยากได้ก็ต้องทำเอง”


กดLike ไร้โรค กับ Herbale4u พบข้อมูลสุขภาพ ส่งตรงถึงคุณ โดยทีมงานใครไม่ป่วยยกมือขึ้น (^_^)/



Sent from my iPad

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น