พยาบาลผู้หนึ่งเมื่อรู้ว่าคนไข้ของตนอยู่ในระยะสุดท้าย เธออยากทำความประสงค์ครั้งสุดท้ายของเขาให้เป็นจริง นั่นคือ ขอกลับไปตายที่บ้านท่ามกลางญาติพี่น้อง แต่เขาเป็นคนยากจน ไม่มีเงินจ้างรถจากหาดใหญ่ไปยังบ้านเกิดที่ชัยภูมิซึ่งไกลกว่าพันกิโลเมตร เธอจึงวิ่งเต้นขอเงินช่วยเหลือจากโรงพยาบาล แต่ก็ยังไม่พอ ต้องเรี่ยไรเพิ่มเติมจากผู้มีจิตศรัทธา ขณะเดียวกันก็ต้องติดต่อประสานงานกับโรงพยาบาลตำบลที่ชัยภูมิ เพื่อให้การดูแลเขาเมื่อกลับถึงบ้าน รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ออกซิเจน เพื่อให้เขาจากไปอย่างสงบ
ทั้งหมดนี้เธอต้องทำเองหมดเพราะโรงพยาบาลของเธอไม่มีระบบรองรับสำหรับกรณีแบบนี้ งานประจำของเธอก็มากอยู่แล้ว เมื่อมาช่วยเหลือคนไข้รายนี้ให้กลับถึงบ้านด้วยดี ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือความรับผิดชอบของเธอ เธอจึงเหนื่อยมาก เพื่อนหลายคนยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ แต่มีบางคนไม่เพียงยืนดูเฉย ๆ แต่ยังพูดว่า สงสัยเธอเคยทำกรรมกับคนไข้คนนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว ชาตินี้ก็เลยต้องชดใช้กรรมด้วยการวิ่งช่วยเขาจนเหนื่อยอ่อน
คำพูดดังกล่าวนับว่าน่าสนใจ เพราะระยะหลังมีคนคิดแบบนี้มากขึ้น เคยมีสามีผู้หนึ่งทิ้งงานมาดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็งด้วยความใส่ใจ เขาทุ่มเทให้กับเธอตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เว้นแม้กระทั่งเช็ดอุจจาระปัสสาวะให้เธอ เพื่อนบ้านหลายคนเมื่อรู้เช่นนี้ก็พูดขึ้นว่า ชาติที่แล้วเขาคงทำกรรมกับผู้หญิงคนนี้เอาไว้ ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรม ด้วยการรับใช้เธออย่างลำบากลำบน
อันที่จริงสิ่งที่พยาบาลและสามีผู้ป่วยทำนั้น เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง แต่เมื่อมองว่าทั้งสองท่านกำลังชดใช้กรรม(ไม่ดี)ที่เคยทำในอดีต การกระทำซึ่งควรถือเป็นแบบอย่างที่พึงปฏิบัติตาม จึงมีสถานะไม่ต่างจากชะตากรรมจากของนักโทษที่กำลังชดใช้ความผิดที่ได้ทำ คำพูดเช่นนี้แทนที่จะให้กำลังใจเขา กลับเป็นการซ้ำเติมเสียอีก คำถามก็คืออะไรทำให้ผู้คนมีความคิดเช่นนั้น
คำตอบเห็นจะอยู่ตรงที่ว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีความคิดเหมารวมว่า เมื่อใดที่ใครก็ตามประสบความยากลำบาก แม้เป็นผลจากการทำความดี ก็ถือว่าเป็นการใช้กรรมไปหมด แต่เหตุใดจึงไม่มองว่า การทำความดีแม้ประสบความยากลำบากนั้น เป็นการสร้างกรรมดี หาใช่การชดใช้กรรมไม่ พูดอีกอย่างก็คือ ทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมาก แยกไม่ออกระหว่าง การสร้างกรรมดี กับ การชดใช้กรรม
การชดใช้กรรมนั้น หมายถึง การ “ถูกกระทำ” หรือจำต้องเผชิญกับสภาพที่ไม่พึงปรารถนาอันเป็นผลจากการกระทำของตน อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้( เช่น ขโมยที่ถูกจำคุกเพราะลักทรัพย์ หรือป่วยหนักเพราะติดเหล้า) ส่วนการสร้างกรรมดีนั้น หมายถึงการ “เลือกที่จะทำดี” ทั้ง ๆ ที่ไม่ทำก็ได้ ดังเช่นพยาบาลและสามีผู้ป่วยที่กล่าวถึง หากจะนิ่งดูดาย ไม่ยอมขวนขวายช่วยเหลือคนไข้และภรรยา ก็ย่อมได้ แต่ทั้งสองเลือกทำสิ่งตรงข้าม ไม่มีอะไรมาบังคับหรือกระทำให้ทั้งสองต้องเสียสละอย่างนั้น นอกจากมโนธรรมสำนึกหรือเมตตากรุณาในจิตใจของตน
อุปสรรคหรือความยากลำบากนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการทำความดี ซึ่งช่วยฝึกฝนขัดเกลาจิตใจให้เข้มแข็งและงดงาม หากไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก มุ่งมั่นทำความดีจนถึงที่สุด ย่อมถือได้ว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีที่ยกจิตใจให้สูงขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากไม่ยอมทำความดีเพราะกลัวความยากลำบาก นั่นเท่ากับว่ากำลังบ่มเพาะความเห็นแก่ตัวให้เพิ่มพูนขึ้น
กฎแห่งกรรมนั้น พระพุทธเจ้านำมาตรัสสอนเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนทำความดีและมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น แต่หากนำกฎแห่งกรรมมาใช้ในทางที่ผิดหรือด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ก็กลายเป็นการส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ยาก ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดี ดังที่มีคนจำนวนไม่น้อยนิ่งดูดายเมื่อเห็นผู้อื่นประสบทุกข์ ( ทั้ง ๆ ที่คนนั้นอาจเป็นพี่น้องของตนด้วยซ้ำ) โดยให้เหตุผลว่า หากไปช่วยเขาจะกลายเป็นการแทรกแซงกรรมของเขา หรือทำให้เจ้ากรรมนายเวรของเขามาเล่นงานฉันแทน ผู้ที่คิดเช่นนี้หารู้ไม่ว่า การเฉยเมยนิ่งดูดายเช่นนั้น แท้ที่จริงก็คือการสร้างกรรมใหม่นั่นเอง และเป็นกรรมที่ไม่ดี อันมีวิบากซึ่งตนต้องรับในอนาคต
ความเสียสละเป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธ ไม่เพียงช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขเท่านั้น แต่ยังทำให้เรามีความสุขด้วย แม้ทรัพย์จะพร่องไป แม้กายจะเหน็ดเหนื่อย แต่ย่อมได้บุญเพิ่มขึ้น บุญนี้แหละที่ทำให้ใจเป็นสุขทั้งในปัจจุบันและวันข้างหน้า จวบจนกระทั่งวันสิ้นลม ดังมีพุทธภาษิตว่า “บุญย่อมนำให้เกิดสุขในยามสิ้นชีวิต” ตรงข้าม หากหวงทรัพย์และไม่ยอมเสียสละเพราะกลัวเหน็ดเหนื่อยและลำบากกาย จิตใจย่อมไกลบุญและยากจะซึ้งถึงความสุขใจ เมื่อสิ้นลมก็ไม่มีบุญที่จะช่วยน้อมใจให้จากไปอย่างสงบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น