โดดเดี่ยว แต่ ไม่เดียวดาย
“นับได้ว่า เวลานี้ โลกของเราแคบเข้ามากเท่าไร ผู้คนยิ่งรู้สึกห่างไกลความรัก ความผูกพันธ์ ความห่วงใยเอื้ออาทรและความไว้ว่างใจกันมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเขาและเธอจะทำกิจกรรมต่างๆ หรืออยู่ร่วมกับผู้คนมากมายเท่าไรก็ตามทั้งเขาและเธอก็ยังรู้สึกไม่อบอุ่น รู้สึกอ้างว่างเดียวดายเสมือนอยู่คนเดียวโดดเดียวในทีที่ตนเองไม่รู้จักและคุ้นเคยนี้คือความเป็นจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ด้วยเหตุนี้เราจำต้องค้นหาคำตอบ เพื่อเป็นวัคซีนป้องกันรักษาก่อนที่ไวรัสคือความเดียวดายจะลุกลามไปถึงตัวเราและสมาชิกในครอบครัวเราเอง”
ชีวิตของคนในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน ยุคสมัยที่ผู้คนสามารถติดต่อกันและกันได้ด้วยเทคโนโลยี่อันล้ำสมัยเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส เทคโนโลยี่สมัยใหม่อันมหัศจรรย์ก็สามารถเปิดหน้าต่างโลกแห่งการติดต่อสื่อสาร นำพาผู้คนทุกเพศทุกวัย ทุกสีผิวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลในแต่ละมุมโลก มาพบปะ แบ่งปันความคิด มองเห็นกัน และพูดคุยกันและกันได้ กล่าวได้ว่า ด้วยช่วยเหลือของเทคโนโลยี่ ช่วยให้ผู้คนได้เรียนรู้ และรับรู้ความแตกต่างทางประเพณี ความเชื่อ และการดำเนินชีวิตของเพื่อนร่วมโลกนี้
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทุ่มเท มุ่งมั่น สุดกำลังสติปัญญาลองผิดลองถูก เพื่อคิดสร้างประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆเพื่อเป้าประสงค์ที่จะช่วยให้มวลมนุษย์มีความสุขมากขึ้นและด้วยความเชื่อมั่นว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถแก้ปัญหาความทุกข์ยากและปัดเป่าความลำบากของมวลมนุษย์ชาติได้ และช่วยปกป้อง คุ้มครองผู้คนจากอันตรายต่างๆ ทางธรรมชาติได้
นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน แรงบันดาลใจเล็กๆ ของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้กลายเป็นแรงสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ ต่อการสร้างสิ่งประดิษฐ ์ที่มหัศจรรย์ในปัจจุบัน และมีประโยชน์มหาศาลต่อผู้คนในโลกนี้ นักวิทยาศาสตร์ทำให้คนเดินทางบนอากาศได้เหมือนนก อาศัยอยู่ในน้ำใด้เหมือนปลา และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ในทางตรงกันข้าม ก็มีโทษมหันต์ต่อชีวิตของผู้คนทั้งหลายดังที่เหตุการณ์ในอดีตได้บอกเล่าให้พวกเราทราบอยู่แล้ว
เป็นความจริงที่ว่า นักวิทยาศาสตร์บรรลุความสำเร็จที่สามารถสร้างเทคโนโลยี่ทำลายกำแพงแห่งความเป็นไปไม่ได้ในความคิดคนยุคเก่าก่อน ทำให้ผู้คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ได้รับรู้ เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความเป็นไปต่างๆ นาๆ ของกันและกันได ้เสมือนอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน โลกใบนี้ได้กลายเป็นหมู่บ้านเดียวกัน แต่ผู้คนในหมู่บ้านหาได้อบอุ่น ร่าเริง ไว้วางใจกันและกันดังที่ควรจะเป็น
หันกลับมาหาคำถาม “ทำไมผู้คนจึงยังรู้สึกโดดเดียวและเดียวดาย ในเมื่อสามารถพบปะคนอื่นๆ ได้ง่ายดาย และชีวิตกพรั่งพร้อมด้วยวัตถุอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ สารพัดจะมี”
คำตอบอาจจะหาไม่ได้ง่ายนัก หรือเพราะว่า..ไม่เข้าใจตนเองและไม่รู้จักตนเอง นี้เป็นเพียงหนึ่งคำตอบหนึ่งที่เป็นทางเลือกสำหรับพวกเรา...
คำว่า “ไม่เข้าใจตนเอง” คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดเฝ้าดู เรียนรู้ อบรม ฝึกหัด ขัดเกลาใจตัวเองอย่างแท้จริงถึงจะเฝ้ามองก็เพียง ส่องผ่านกระจกดูหน้าตาตรวจดูชุดต่างๆ ที่ตัวเองใส่ แต่ไม่เคยส่องดูใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร
เพราะไม่เข้าใจตนเอง จึงไม่รู้จักตนเอง แน่นอน ทุกคนรู้จักตนเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง เป็นดี๊ เป็นทอม เป็นเกย์ เป็นกระเทย เป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นหลาน หรือเป็นเจ้านาย และเป็นลูกน้อง เป็นต้น ความรู้ตัวเองว่าเป็น...เหล่านี้ เป็นเพียงรู้เปลือกนอก แต่ประเด็นที่ว่า ไม่รู้จักตนเองนั้นมุ่งตรงไปที่การรู้จักใจตัวเองอย่างลึกซึ่ง การสามารถควบคุมใจตัวเองได้ อย่างดี สรุปง่ายๆว่า สามารถดูใจตัวเองออก บอกใจตัวเองได้ ใช้ใจตัวเองเป็น เมื่อไม่รู้จักใจตนเองแล้ว จึงดูใจตัวเองไม่ออก บอกใจตัวเองไม่ได้ และใช้ใจตัวเองไม่เป็น ... ชีวิตจึงเดียวดาย บนวัตถุที่พรั่งพร้อมและผู้คนห้อมล้อมมากมาย เพราะไม่มีทีพึงทางใจ ขาดแคลนความเข้าใจ จึงไร้ที่พึงพา ชีวิตจึงทุกข์ง่ายแต่สุขยาก ทุกข์กับสิ่งที่มี ไม่มีความพอในสิ่งที่ได้...และสิ่งที่เป็น...
ชีวิตทั้งชีวิตที่ขาดความเข้าใจอย่างถูกต้องดีงาม และไร้การฝึกอบรมใจให้มีความมั่นคงและฉลาดในอารมณ์ทั้งดีและร้ายนั้น จึงเป็นชีวิตวุ่นวายหยุดนิ่งไม่ได้ พยายามแสวงหาวัตถุภายนอกมาเติมเต็มความบกพร่องในใจ ที่เกิดจากความไม่พอใจ ความไม่พอเพียง และความไม่พอดี...ด้วยเหตุนี้ชีวิตทั้งชีวิตจึงโดดเดียวและเดียวดายเสมอๆ
บนเส้นเวลาแห่งชีวิตของผู้ฝึกหัดตนเอง ที่ดำเนินชีวิตที่เริ่มต้นด้วยการเข้าใจเตนเอง ขยายไปเข้าใจคนอื่นๆ และนำไปสู่ เข้าใจเหตุผล ชุมชน และสถานการณ์ต่างๆ จึงเป็นชีวิตที่มีความพอใจ พอเพียง และเกิดความพอดี ถึงจะอยู่อย่างอย่างโดดเดียว ไม่มีวัตถุบำเรอมากมายแต่ก็ไม่เดียวดาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น