++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผลของการถวายทานกับพระอรหันตพระสารีบุตรเถระออกจากนิโรธสมาบัติ ตอน 05-นางอุตตรานันทมารดาเอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน

ผลของการถวายทานกับพระอรหันตพระสารีบุตรเถระออกจากนิโรธสมาบัติ ตอน 05-นางอุตตรานันทมารดาเอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน

ที่มา  :  http://www.84000.org/one/4/05.html

05-นางอุตตรานันทมารดา
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน

นางอุตตรา เกิดเป็นลูกสาวของนายปุณณะ ซึ่งเป็นคนรับใช้อยู่ในเรือนของสุมมเศรษฐี
ในกรุงราชคฤห์ เขาเป็นคนขยันในการทำงาน แม้ในวันเทศกาล งานนักขัตฤกษ์ พวกทาสและ
กรรมกรอื่น ๆ พากันหยุดงานเพื่อฉลองนักขัตฤกษ์กัน แต่นายปุณณะก็ยังคงไปทำการไถนาตาม
หน้าที่ของตนตามปกติ
ขณะที่เขากำลังไถนาอยู่นั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจากออกจากนิโรธสมาบัติแล้วได้ถือ
บาตรเที่ยวเดินภิกขาจารผ่านมายังทุ่งนาที่นายปุณณะกำลังไถอยู่นั้น
นายปุณณะพอเห็นพระเถระ
ก็หยุดไถแล้วเข้าไปกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน พระเถระทำ
กิจสีฟันและบ้วนปากแล้วเดินภิกขาจารต่อไป นายปุณณะคิดว่า
"เหตุที่พระเถระมาทางนี้ในวัน
นี้ก็คงจะมาสงเคราะห์เรา ถ้าภริยาของเราได้พบพระเถระแล้ว
ขอให้นางได้อาหารที่นำมาให้เรา
ลงในบาตรของพระเถระด้วยเถิด"
ส่วนภริยาของเขาเมื่อนำอาหารไปส่งให้เขาที่นาในระหว่างทางได้พบพระเถระจึงคิดว่า
"วันอื่น ๆ เราพบพระเถระแต่ไทยธรรมของเราไม่มี
ส่วนในวันที่มีไทยธรรมก็ไม่ได้พบพระเถระ
แต่วันนี้ทั้งสองอย่างของเรามีพร้อมแล้ว
เราควรถวายอาหารที่เตรียมไปให้สามี แก่พระเถระก่อน
แล้วจึงกลับไปทำมาใหม่"
เมื่อนางคิดดังนี้แล้วก็ใส่โภชนาหารลงในบาตรของพรเถระแล้วกล่าว
ว่า "ด้วยอานิสงส์แห่งทานนี้ ขอให้ชีวิตขอดิฉันพ้นจากความยากจนด้วยเถิด"
พระเถระกล่าว
อนุโมทนาให้ความปรารถนาของนางสำเร็จตามที่ต้องการแล้วก็กลับไปสู่วิหาร
เมื่อนางได้ถวายอาหารแก่พระเถระแล้ว ก็รีบกลับบ้านเพื่อจัดหาอาหารมาให้สามีของ
ตน ฝ่ายนายปุณณะไถนาเรื่อยไปจนเวลาสาย
ภริยาก็ยังไม่นำอาหารมาส่งเช่นทุกวัน รู้สึกหิวเป็น
กำลังจึงหยุดไถแล้วนอนพักที่ใต้ร่มไม้ เมื่อภริยามาถึงนา
ก็เกรงว่าสามีจะโกรธที่มาช้า จึงรีบพูด
กับสามีขึ้นก่อนว่า "ท่านอย่าเพิ่งโกรธ ขอให้ฟังดิฉันก่อน"
แล้วนางก็เล่าเหตุที่มาช้าให้สามีฟัง
โดยตลอด นายปุณณะกล่าวว่า "เธอทำดีแล้ว แม้ฉันเองก็ได้ถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟันแก่
พระเถระเหมือนกัน วันนี้นับว่าเป็นบุญของเราเหลือเกิน"
ทั้งสองสามีภรรยานั้นต่างก็ปีติอิ่มเอิบ
ในการกระทำของตน
ขี้ไถกลายเป็นทอง
นายปุณณะ กินอาหารเสร็จแล้วก็นอนหนุนตักภริยาแล้วก็หลับไปครู่หนึ่ง พอตื่นขึ้นมา
มองไปที่ทุ่งนา เห็นก้อนดินที่ตนไถมีสีเหมือนทองคำเต็มทั่วท้องนา
จึงบอกให้ภริยาดูด้วย ภริยา
เมื่อมองดูก็เห็นมีแต่ก้อนดินจึงพูดขึ้นว่า "ท่านคงจะเหน็ดเหนื่อย
และหิวจนตาลาย" แต่เมื่อเขา
ลุกไปหยิบมาให้ภริยาดู ต่างก็เห็นเป็นทองเหมือนกัน..
...( ปาฎิหาร ผลของการถวายทานกับพระอรหันตพระสารีบุตรเถระออกจากนิโรธสมาบัติ
มาโปรดผู้ซื่อสัตย์ รู้หน้าที่ ทำความดีดว้ยศัรทธา
ยังมีพระเข้านิโรธสมาบัติอยู่ในปัจจุบัน
เป็นการบันทึกข่าวของพระสงฆ์เอาใว้...อยากให้ทุกๆคนได้รู้และมีโอกาสทำทานด้วยจังเลย....จะได้เจริญรุ่งเรื่องกันทุกๆคนจ้า
.....)

สองสามีภรรยาเก็บทองใส่ถาดจนเต็มแล้ว นำไปถวายพระราชาพร้อมทั้งกราบทูลให้ส่ง
คนไปขนทองคำ ที่ทุ่งนาของตนนั้นมาเก็บไว้ในท้องพระคลังพระราชาสั่งราชบุรุษพร้อมเกวียน
ไปบรรทุกทองคำตามที่นายปุณณะ กราบทูล

ราชบุรุษทั้งหลาย ในขณะที่กำลังขนทองคำใส่
เกวียนนั้นพากันพูดว่า "บุญของพระราชา" ทันใดนั้นทองคำก็กลายเป็นดินขี้ไถเหมือนเดิม

พวกราชบุรุษจึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชารับสั่งว่า "พวกท่านจงไปขนมาใหม่
พร้อมกับจงพูดว่า บุญของนายปุณณะ" พวกราชบุรุษทำตามรับสั่ง ก็ปรากฏว่าได้ทองคำมา
หลายเล่มเกวียน นำมากองที่หน้าพระลานหลวง พระราชารับสั่งถามว่า ในพระนครนี้ ใครมี
ทรัพย์มากเท่านี้บ้าง เมื่อได้สดับว่าไม่มี
จึงพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่นายปุณณะได้นามว่า
"ธนเศรษฐี" พร้อมทั้งมอบทองคำทั้งหมดให้แก่นายปุณณะด้วย
นายปุณณะเศรษฐี เมื่อทำการมงคลฉลองตำแหน่งเศรษฐี ได้กราบอาราธนาพระบรม
ศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์มาเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน พระบรมศาสดา
ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนาทาน นายปุณณเศรษฐีพร้อมด้วยภริยาและธิดาได้บรรลุ
โสดาปัตตผล

นางอุตตราถูกน้ำมันเดือดราดศรีษะ
ในกาลต่อมา ราชคหเศรษฐี ได้ส่งคนไปสู่ขอนางอุตตราธิดาของนายปุณณะ เพื่อทำอา
วาหมงคลกับบุตรของตน เมื่อนายปุณณะ
ไม่ขัดข้องจึงได้จัดพิธีอาวาหมงคลเป็นที่เรียบร้อยนาง
ได้มาอยู่ในตระกูลของสามีเมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษานางกล่าวกับสามีว่า
ปกตินางจะอธิษฐานองค์
อุโบสถเดือนละ ๘ วัน ขอให้สามีอนุญาตให้นางด้วย แต่สามีไม่อนุญาต
นางจึงส่งข่าวไปถึงบิดา
มารดาว่า นางถูกส่งตัวให้ไปอยู่ในที่คุมขัง
ไม่สามารถจะอธิษฐานองค์อุโบสถแม้สักวันเดียว ขอ
ให้บิดามารดาช่วยส่งทรัพย์ไปให้นางจำนวน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะด้วยเถิด
เมื่อนางได้ทรัพย์ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็ได้ไปหานางสิริมา ซึ่งเป็นหญิงโสเภณี
ประจำนครนั้น ได้เจรจาติดตามขอให้ช่วยเป็นตัวแทนในการบำรุงบำเรอสามีของนางเองเป็น
เวลา ๑๕ วัน แล้วมอบทรัพย์ให้นาง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ นางสิริมาก็ตกลงยอมรับ และสามีของ
นางก็พอใจอนุญาตให้นางอธิษฐานองค์อุโบสถได้ตามความปรารถนา
เมื่อสามีอนุญาตแล้ว นางอุตตราจึงได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาและพระภิกษุ
สงฆ์ เพื่อเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของตน เป็นเวลา ๑๕ วัน
นางพร้อมด้วยทาสีผู้เป็นบริวาร
ช่วยกันจัดของเคี้ยวของฉันอันควรแก่สมณบริโภคน้อมนำเข้าไปถวายพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
พระภิกษุสงฆ์ อธิษฐานองค์อุโบสถ ครบกำหนดกึ่งเดือนโดยทำนองนี้
ในวันสุดท้ายของการรักษาอุโบสถ ขณะที่นางอัตตรากำลังขวนขวายจัดแจงภัตตาหาร
อยู่นั้น สามีของนางกับนางสิริมายืนดูอยู่ที่หน้าต่างบนปราสาทพลางคิดว่า
"นางอัตตราหญิงโง่
คนนี้ คงจะเกิดมาจากสัตว์นรก ชอบทำการงานสกปรกเหมือนทาสีทั้งหลาย
ทรัพย์สมบัติก็มีอยู่
มากมายแต่กลับไม่ยินดี นางทำอย่างนี้ไม่สมควรเลย"
คิดดังนี้แล้วก็แสดงอาการยิ้มแย้มเป็นเชิง
เยาะเย้ย
ส่วนนางอุตตราผู้เป็นภริยาก็คิดว่า "บุตรเศรษฐีผู้เป็นสามีของเรานี้
มีปกติประมาท โง่
เขลา สำคัญว่าทรัพย์สมบัติของตนเหล่านี้เป็นของยั่งยืนถาวรตลอดไป"
แล้วนางก็แสดงอาการ
แย้มยิ้มบ้าง
นางสิริมา ซึ่งยืนอยู่กับบุตรเศรษฐีนั้น
เห็นสองสามีภรรยายิ้มแย้มด้วยกันดังนั้นก็โกรธ
จึงรีบลงมาจากปราสาทเพื่อจะทำร้ายนางอุตตรา

แม้นางอุตตราเห็นกิริยาอาการของนางสิริมานั้น
แล้วก็ทราบดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจึงเข้าฌานทั้ง ๆ ที่กำลังยืนอยู่
เจริญเมตตาจิตเป็นอารมณ์ แผ่เมตตาไปยังนางสิริมานั้น

นางสิริมา ได้จับกระบวยตักน้ำมันที่กำลังเดือดอยู่ในกระทะแล้ว เทราดลงบนศีรษะของ
นางอุตรา ที่กำลังเข้าฌานและแผ่เมตตาจิตอยู่
ด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌานบันดาลให้น้ำมันที่กำลัง
ร้อนจัดนั้นได้ปราศจากความร้อน และไหลตกไปประหนึ่งน้ำตกจากใบบัว

นางสิริมาเห็นเช่น
นั้น จึงตกใจกลับได้สติสำนึกตัวว่าเป็นผู้มาอยู่เพียงชั่วคราว
จึงกราบลงแทบเท้านางอุตตรา
วิงวอนขอให้ยกโทษให้แต่นางอุตตรากล่าวว่า "ฉันจะยกโทษให้
ก็ต่อเมื่อบิดาของฉันคือพระ
บรมศาสดายกโทษให้เธอก่อนเท่านั้น"
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์ ประทับบนพุทธอาสน์เพื่อเสวยภัตตาหาร
ณ ที่บ้านนของนางอุตตราในเช้าวันนั้น
นางสิริมาได้กราบทูลกิริยาที่ตนกระทำต่อนางอุตตราให้
ทรงทราบโดยตลอดแล้ว กราบทูลขอให้ทรงยกโทษให้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยกโทษให้แล้วก็
เข้าไปหานางอุตราให้ยกโทษให้อีกครั้งหนึ่ง
พระบรมศาสดาเมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนา ตรัสพระคาถา
ภาษิตว่า:-
พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่มีด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง ฯ
เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางสิริมาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แสดงตนเป็นอุบาสิกาให้
ทานรักษาศีลและฟังธรรมตามกาลเวลา
พระบรมศาสดาอาศัยเหตุที่นางอุตตราเป็นผู้เชี่ยวชาญใน
การเข้าฌาน จึงประกาศยกย่องให้นางเป็นเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย
ในฝ่าย ผู้
เพ่งด้วยฌาน หรือผู้เข้าฌาน
84000.org...::


ขออนุญาติ อนุโมทธนาบุญด้วยจ้า นางอุตตรานันทมารดา
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เพ่งด้วยฌาน    สาธุ สาธุ สาธุ
--
Natyakul

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น