อภัพบุคคล แปลว่า คนไม่สมควร คนไม่เหมาะสม คำไทยใช้ว่า คนอาภัพ
อภัพบุคคล หมายถึง คนที่ไม่อาจบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ คนที่ขาดคุณสมบัติไม่อาจบรรพชาอุปสมบทได้ คนที่ไม่เหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์เหมือนที่คนอื่นได้รับ
อภัพบุคคล ในพระวินัยหมายถึงคนที่ถูกห้ามอุปสมบทเด็ดขาด ๓ ประเภท คือ
๑. คนมีเพศบกพร่อง ได้แก่ บัณเฑาะก์ (ขันที กะเทย) คนมีสองเพศ
๒. คนประพฤติผิดพระธรรมวินัย ได้แก่ คนฆ่าพระอรหันต์ คนทำร้ายพระพุทธเจ้า คนทำสังฆเภท คนลักเพศ เป็นต้น
๓. คนประพฤติผิดต่อกำเนิดของตน ได้แก่ คนฆ่าบิดา คนฆ่ามารดา
ต่อไปผมจะธรรมวิจารณ์พอสังเขปตามหลักพระอภิธรรมนะครับ
ถาม อยากรู้เรื่องคนอาภัพ ทำไมจึงเป็นคนอาภัพครับ ทำให้เบื่อชีวิตนี้จังเลย คนอาภัพ เกิดจากสาเหตุอะไร ทุกวันนี้ผมมีปมด้อยมาก เพราะเป็นคนอาภัพ ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูง ขอให้ช่วยให้ความสว่างกลางใจผมด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
ตอบ อ่านคำถามแล้วรู้สึกเห็นใจคุณและเข้าใจนะครับ แต่ก็ต้องขอเรียนให้ทราบด้วยเหตุผลตามความจริงว่า คำว่าคนอาภัพ ในทางโลกกับทางธรรมนั้นไม่เหมือนกัน
คนอาภัพทางโลกนั้นคือคนที่อยากได้อะไรหรืออยากเป็นอะไรแล้วก็ไม่สมหวัง อยากมีเพื่อนฝูงอย่างคุณผู้ถามเป็นต้น ก็ไม่ค่อยมี แล้วก็กล่าวว่าเป็นคนอาภัพ นี่เป็นความหมายของคนอาภัพทางโลก
แต่คนอาภัพทางธรรมนั้น หมายถึงคนที่ไม่อาจบรรลุมรรคผลในชาตินี้ ท่านเรียกว่า อภัพพบุคคล ได้แก่คน ๔ ประเภทคือ คนที่เกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณะอเหตุกกุศลวิบาก คนที่ทำกรรมหนักชนิดที่เรียกว่าอนันตริยกรรม คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คนที่ไม่มีศรัทธา
๑. คนที่เกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณะอเหตุกกุศลวิบาก คือเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่เป็นผลของกุศลที่ไม่มีเหตุประกอบ เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน เกิดเป็นบ้าใบ้ ตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อนมาแต่กำเนิด คนพวกนี้เป็นคนอาภัพเพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ แม้จะได้หันเหชีวิตมาเจริญมรรคมีองค์ ๘ ก็ตาม
๒. คนที่ทำกรรมหนักชนิดที่เรียกว่าอนันตริยกรรม คือฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน คนที่ทำกรรม ๕ อย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่าอภัพพบุคคล เพราะแม้จะฉลาดอย่างไรก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ เพราะได้ทำกรรมหนักที่จะต้องนำไปสู่นรกทันทีเมื่อตายลง กรรมดีใดๆ ไม่อาจขวางกั้นกรรมหนักได้ กรรมหนักทั้ง ๕ นี้ต้องให้ผลก่อน
๓. คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเป็นคนมีความเห็นผิด ไม่เชื่อบุญเชื่อบาปเป็นต้น ใครจะชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง คนอย่างนี้เป็นคนอาภัพเช่นกัน เพราะไม่มีทางบรรลุมรรคผลในชาตินี้ได้
๔. คนที่แม้จะเกิดมาด้วยไตรเหตุ ไม่ทำกรรมหนัก เป็นสัมมาทิฏฐิ คือเชื่อบุญเชื่อบาปแล้ว แต่ว่าเป็นคนที่ไม่มีศรัทธาประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือเป็นผู้เกียจคร้านไม่มีฉันทะในการทำกุศล พวกนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นคนอาภัพเช่นกัน เพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้
บุคคล ๔ พวกนี้แหละ คือคนอาภัพในความหมายของทางธรรม
แต่อย่าได้น้อยใจไปเลยครับ เพราะคนที่ยังเป็นคนอาภัพเช่นเดียวกับเราท่านคือผู้ยังไม่อาจบรรลุธรรมยังมีอีกมากเหลือเกิน คงจะเกือบทั้งโลกก็ว่าได้นะครับ ก็ในเมื่อคนทั้งโลก มีคนที่บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยะ พ้นจากการถูกเรียกว่าคนอาภัพน้อยมาก
คราวนี้ขอพูดถึงคนอาภัพทางโลกบ้าง ซึ่งก็ได้ให้ความหมายของคำว่าคนอาภัพในทางโลกไว้แล้วว่า.. ได้แก่คนที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ไม่สมหวังไปเสียทุกอย่าง อยากมีเพื่อนก็ ไม่มีเพื่อนเป็นต้น
อันนี้จัดเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำไว้ คนที่ทำบุญไว้หลายๆ อย่าง คือทานก็ทำ ศีลก็รักษา ซ้ำเวลาทำทานรักษาศีลก็ไม่ทำคนเดียว เที่ยวชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงญาติพี่น้องให้ทำทานรักษาศีลร่วมกับตนด้วย
การทำอย่างนี้แหละครับ เป็นเหตุให้เมื่อต้องการสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้นตามประสงค์ การชักชวนคนอื่นๆ ให้ทำดี เป็นเหตุให้ได้บริวารมากครับ
ในอดีตคุณผู้ที่ถามมาคงทำบุญไว้น้อย เวลาทำแล้วไม่ได้ชักชวนคนอื่นๆ ด้วย คุณจึงขาดเพื่อนฝูง ถึงอย่างนั้นคุณก็อย่าน้อยใจในความอาภัพของคุณเลย เพราะเราไม่อาจแก้ไขสิ่งที่เราทำไปแล้วได้
เพราะฉะนั้นคุณต้องทำเหตุในชาตินี้ของคุณให้ดีให้ถูก เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องเป็นอย่างนี้ในชาติต่อไป ในปัจจุบันนี้ เราก็หาเพื่อนได้ไม่ยากเลย ถ้าเรามีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ใครๆ ก็อยากคบหาผู้นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ นั่นคือ ถ้าเราเป็นผู้ให้คือเผื่อแผ่อยู่เสมอแล้ว เป็นธรรมดาใครๆ ก็ย่อมจะรักใคร่เรา ลองทำดูนะครับ รับรองว่าคุณจะมีเพื่อนมากมายจนคบไม่หวาดไหว
แต่ว่าการจะได้เพื่อนกินหรือเพื่อนแท้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของเพื่อนแท้ เราดูกันประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้ ต้องคบกันนานๆ จึงจะตัดสินใจ
คนอาภัพทางโลกไม่สำคัญหรอกครับ เรามีมิตรดี มิตรแท้ ที่จะชักนำเราไปในทางดี ไม่ประพฤติชั่ว มีเพียงคนสองคนก็พอแล้ว
แต่คนอาภัพทางธรรมสิครับสำคัญมาก เพราะถ้าเราอาภัพทางธรรมอยู่ทุกๆ ชาติ เราก็ต้องพบกับความทุกข์ต่างๆ รวมทั้งการเป็นคนอาภัพเพื่อนฝูงด้วยอยู่ทุกๆ ชาติ
ถ้าเราพ้นจากความอาภัพทางธรรมเสียแล้ว ความอาภัพทางโลกจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นควรสนใจเรื่องความอาภัพทางธรรมดีกว่า แล้วทำตนให้พ้นจากความเป็นคนอาภัพในทางธรรมเสีย แล้วคุณจะไม่พบกับความอาภัพทั้งทางโลกและทางธรรมอีกเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น