เม้าเกิดมาในครอบครัวคนจีนที่มาจากซัวเถาหรือเมืองจีน ดังที่เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังในตามหาแก่นธรรมตอนต้นๆมาหลายตอน ถูกประสบการณ์เพาะบ่มมามากจนเม้าเป็นตัวของตัวเองสูง
แถมยังมีอาจารย์เก่งๆหลายท่านอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ในการทำงานและใช้ชีวิต จากเม้าที่เป็นคนที่ขี้อาย แตกตื่นกับผู้คนมาก กลายเป็นคนที่นิ่งสงบพร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ถ้าที่ว่างตรงนั้นเหมาะสมหรือให้โอกาสแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ให้โอกาสพูดแต่ไม่ฟัง เหมือนสถานที่หลายๆแห่งในเมืองไทยที่ทำกัน
แม้ในงานมงคลบางแห่ง เช่นงานบวช มีการนิมนตร์พระมาเทศน์ให้ฟัง แต่คนร่วมงานเอาแต่เฮฮา ดื่มเหล้าเมายา แถมเปิดบ่อนเล่นการพนันกันก็มี จนพระท่านเทศน์ไม่ได้เพราะไม่มีคนฟังจนท่านบอกว่าว่านี่ไม่ใช่งานมงคลแล้ว แต่น่าจะเป็นงานอมงคล เพราะไม่ถูกกาละเทศะ
พออ่านแก่นธรรมมากๆ เม้าก็อินเทรนด์ตามไปด้วย ก็เลยพูดถึงพระสงฆ์องค์เจ้าที่ท่านสอนไว้
มีวิธีการหนึ่งที่เม้าเอามาใช้กับคนในครอบครัวและคนอีนซึ่งเป็นผู้คนอันเป็นที่รักอย่างไม่อาย โดยเริ่มต้นจากแม่ของเม้าที่เป็นผู้หญิงชาวจีนโพ้นทะเล เมื่อเม้าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเริ่มทำงานภายหลังจากจบปริญญาตรีและเอาเงินเดือนๆแรกให้แม่กับมือ
วิธีการนั้นคือการโอบกอด ครั้งแรกที่เม้าโอบกอดแม่ เม้ารู้สึกได้เลยว่าดีจัง มันอบอุ่นจนนึกไปถึงกอดแรกของแม่ที่กอดเราในอ้อมอกตอนแรกเกิดจวบจนกระทั่งเติบโต และจางหายไปตอนวัยรุ่น เพราะกรอบประเพณี
ตอนแรกแม่ของเม้ายังไม่คุ้นนัก แต่ในครั้งต่อๆมา แม่รับกอดอย่างเต็มใจและรู้สึกดีใจในอ้อมอกของแม่ จนเราแม่ลูกกอดกันในวาระที่ควรกอดกันเสมอ มันแสดงความรู้สึกรัก ห่วงใย คิดถึงอย่างเต็มเปี่ยม ยิ่งในตอนที่หลังจากได้ไหว้แม่แล้วตอนออกไปต่างจังหวัดหลายๆวัน จนพี่ๆก็เอาเป็นแบบอย่าง ทุกคนเลยกอดแม่กันใหญ่
ในตอนที่แม่รู้สึกไม่สบายใจหลายๆครั้ง และในตอนที่เม้าเองไม่สบายใจหลายๆครั้ง อ้อมกอดของแม่ทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นมันคลายหายจางลงไปอย่างรวดเร็ว...อย่างน้อยมันก็ให้เม้ารู้สึกว่าที่นี่ปลอดภัยทีุ่สุด
เม้าใช้อ้อมกอดนี้กับภรรยาและลูกเสมอๆในสถานที่ทุกแห่งที่เหมาะสม เพราะไม่คิดว่าจะเสียหายหรืออุดจาดกับคนที่เรารักและห่วงใยจากใจจริง และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เฉกเช่นเดียวกัน
ในครอบครัวของเรา กอดกันเสมอๆจนเป็นวิธีการปฎิบัติเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าก่อนจะออกจากบ้านแยกย้ายกันไปทำงาน และแยกกจากแม่ที่บ้าน เพราะเรารู้ว่าตอนเย็นนะ เราจะเจอกันและกอดกันใหม่
การกอดยังใช้ได้ดีในตอนที่เรามีความเห็นที่ขัดแย้งกันที่มากกว่าปกติ ที่ยังไม่เห็นความจริงในเรื่องที่ขัดแย้ง มันทำให้เราสงบเย็นลง เหมือนเราลงไปในหลุมหลบภัย แล้วความขัดแย้งจะจางหายไปโดยเร็ว คนที่ขาดสติจะรู้ตัวหลังจากนั้น
เมื่อมีปัญหาในครอบครัวการกอดจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ได้เสมอ แม้กระทั่งบางครั้งตอนที่เจ้าลูกชายตัวน้อยซึ่งกลายมาเป็นเจ้าตัวโตในตอนนี้ ทำไม่ดีกับพ่อแม่และรู้สึกตัวแล้ว เขาจะเข้ามากราบขอโทษ แล้วก็สวมกอดพ่อแม่ในเวลานั้น มันเป็นเวลาพิเศษจริงที่จะสอนให้ลูกรู้จักกับการให้อภัย รวมทั้งการให้อภัยต่อผู้อื่นด้วย
มีเพื่อนบางคนพูดว่าเขาอิจฉาเม้าเพราะเขาหรือเธอเห็นว่าครอบครัวของเม้ารักกันจัง เวลาสวมกอดกันให้เขาหรือเธอเห็น แต่เขาหรือเธอก็จะได้คำตอบกลับไปว่า ก็กลับไปทำที่บ้านสิ หากยังไม่เคยทำก็เริ่มต้นก่อน
แต่การสวมกอดนั้นจำเป็นต้องมีความรักและกรุณาเจือเสมอ เพราะเป็นรักแท้ดังที่ท่านว.วชิรเมธีท่านเทศน์สอนไว้ เเละมันพิสูจน์ได้ว่าไม่มีอะไรเคลือบแคลงหรือแฝงอะไรไว้ใ้ห้สงสัย
อ้อมกอดนี้เม้ายังใช้กับบุคคลที่รักและสนิทได้ดี จากทุกความรู้สึกที่จริงใจและปรารถถนาดีต่อเขาและเธอเหล่านั้น จนหลายๆคนเคยชินและนำไปใช้ต่อ แม้มันจะดูเป็นต่างชาติมากไป แต่เม้าว่าการกอดกันนั้นเป็นสากลนะ ถ้ามันเกิดจากความรัก
วันนี้คุณกอดใครบ้างหรือยัง รวมทั้งคนที่ถูกน้ำท่วมและมีทุกข์ทางใจหนักหนาสาหัสอยู่ในตอนนี้ ช่วยๆกอดเขาหน่อยผ่านการช่วยเหลือในรูปของเสื้อผ้า ของกินของใช้และเงินทองที่มีเหลือใช้อยู่ ในสถานที่รับบริจาคที่เชื่อถือได้ใกล้บ้าน เชื่อเถอะว่าเป็นอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นยามนี้
เม้าเอง
หายไปนานนะครับคุณเม้า ขอบคุณที่กลับมา ชุ่มใจดีครับกับบทความตอนนี้ ช่วยๆกอดกันหน่อยนะครับท่านผู้อ่าน ด้วยความรักและสามัคคี
การเสียสละสิ่งของเงินทองแก่ผู้เดือดร้อนในยามนี้เป็นทานอันยิ่งใหญ่ ด้วยพรหทวิหารธรรม เชื่อว่าทุกท่านที่ทำทานแก่เพื่อนๆและพี่น้องร่วมชาติคงจะได้รับความสุข ความสงบและร่มเย็นจริงๆ สำหรับคนที่อยู่บนหลังคาบ้านก็คงจะมีความหวังมากขึ้นว่าทุกข์จะคลายหายไปในเร็ววัน ตามกฎเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ว่างๆเขียนมาอีกนะครับ ขออนุโมทนาและสาธุการครับ
สะมะชัยโย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น