++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พระราชาผู้นับถือพระพุทธศาสนาองค์แรกคือใคร

พระเจ้าพิมพิสาร
“พระเจ้าพิมพิสาร” เป็นกษัตริย์ครองเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าตอนที่พระพุทธองค์เสด็จออกผนวชใหม่ๆ เสด็จผ่านมายังเมืองราชคฤห์ ประทับอยู่ที่ปัณฑวบรรพต หลังจากได้ทรงสนทนากับพระพุทธองค์แล้ว ได้ชักชวนให้พระพุทธองค์สละ เพศบรรพชิตมาครองราชย์ด้วยกัน โดยจะทรงแบ่งดินแดนให้กึ่งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ ตรัสว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสวงหาคือ โมกขธรรม หาใช่ราชสมบัติไม่

กษัตริย์กราบทูลว่า ถ้าทรงได้บรรลุสิ่งที่ทรงประสงค์แล้ว ขอให้เสด็จมาสอนเป็นคนแรก พระพุทธองค์ทรงรับ ด้วยเหตุนี้เมื่อโปรดปัญจวัคคีย์ โปรดยสกุมารพร้อมสหาย จนมีพระสาวก 60 รูป ทรงส่งไปประกาศพระศาสนายังแคว้นต่างๆ แล้ว พระองค์จึงเสด็จพุทธดำเนินมุ่งตรงไปยังเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ

จุดมุ่งหมายก็คือ ทรงต้องการจะเปลื้องปฏิญญาที่ประทานไว้แก่พระเจ้า พิมพิสารเมื่อครั้งนั้นนั่นเอง

เมื่อทรงพิจารณาว่า บุคคลที่พระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองนับถืออยู่ คือ ชฎิลสามพี่น้องพร้อมบริวาร พระองค์จึงเสด็จไปโปรดชฎิลสามพี่น้อง ก่อน เพราะว่าเมื่อชฎิลสามพี่น้องพร้อมบริวารนับถือพระพุทธองค์แล้ว พระเจ้าพิมพิสารพร้อมชาวเมืองก็จะนับถือตามโดยง่าย

หลังจากโปรดชฎิลสามพี่น้องพร้อมบริวารแล้ว พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ลัฏฐิวัน (แปลกันว่า ป่าตาลหนุ่ม) นอกเมืองราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมประชาชนจำนวนมากได้ไปยังป่าตาล ดังกล่าว ทอดพระเนตรเห็นอาจารย์ของพระองค์สละเพศชฎิลหันมานุ่งห่ม ผ้ากาสาวพัสตร์ นั่งแวดล้อม “สมณะหนุ่ม” รูปหนึ่ง หน้าตาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักมาก่อน ก็ทรงสงสัยอยู่ครามครันว่าเกิดอะไรขึ้น อาจารย์ของพระองค์จึงได้ “เปี๊ยนไป๋”

พระพุทธองค์ทรงทราบพระราชดำริของกษัตริย์หนุ่ม จึงหันไปตรัสถาม ปูรณกัสสปะ หัวหน้าชฎิลทั้งหลายว่า “เธอเห็นอย่างไร จึงสละเพศชฎิลและการบูชาไฟที่ทำมาเป็นเวลานาน หันมานับถือพระพุทธศาสนา”

ปูรณกัสสปะกราบทูลว่า “ยัญทั้งหลายสรรเสริญรูป เสียง กลิ่น รส และสตรี ล้วนแต่เป็นมลทิน ข้าพระองค์เห็นว่ามิใช่ทางแห่งความรำงับกิเลส จึงละการเซ่นสรวงบูชา”

“ถ้าเช่นนั้น เธอยินดีอะไร เทวโลกหรือมนุษยโลก”

“ใจของข้าพระองค์ยินดีในการสิ้นกิเลสทั้งหลาย ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป”

พระเจ้าพิมพิสารและประชาชนได้ยินการโต้ตอบระหว่างพระพุทธเจ้าและ ปูรณกัสสปะ และเห็นอาจารย์ของพวกตนคุกเข่าประนมมือต่อพระพักตร์สมณะ หนุ่มเช่นนั้น ก็หายสงสัยโดยสิ้นเชิง พลอยเลื่อมใสพระพุทธเจ้าไปตามอาจารย์ ของพวกตนด้วย กษัตริย์หนุ่มก็พลอยรำลึกได้ว่า สมณะหนุ่มรูปนี้ก็คือผู้ที่ตน พบที่ปัณฑวบรรพตนั้นเอง บัดนี้ได้เป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แล้ว

หลังจากทรงสดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์แล้ว พระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุโสดาปัตติผล นับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต อาราธนาพระพุทธองค์พร้อมภิกษุสงฆ์ไปเสวยภัตตาหารที่พระราชวังใน วันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ถวายสวนไผ่เป็นวัดแห่งแรกใน พระพุทธศาสนา ชื่อว่า “วัดเวฬุวัน” ดังที่ทราบกันดีแล้ว

พระเจ้าพิมพิสารนี้มีพระมเหสีพระนามว่า โกศลเทวี หรือเวเทหิ ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้พระกนิษฐา ของพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระมเหสีเช่นกัน แว่นแคว้นทั้งสองนี้จึงมีสัมพันธไมตรี กันอย่างแน่นแฟ้น ทั้งพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระเจ้าพิมพิสาร ต่างก็ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแข็งขันมั่นคงจนตลอดรัชกาลของ พระองค์

มีเรื่องน่าสนใจก็คือ พระเจ้าพิมพิสารทรงนำแนวคิดวิธี “ดึงดูดเงินตราจากต่างประเทศ” จากแคว้นวัชชีของกษัตริย์ลิจฉวี มาใช้ในเมืองราชคฤห์ของพระองค์ โดยทรงสถาปนาตำแหน่งนาง “นครโสเภณี” ขึ้น นางนครโสเภณีคนแรกชื่อสาลวดี สาลวดีมีบุตรชายด้วยความประมาท จึงสั่งให้สาวใช้เอาไปทิ้งไว้ข้างประตูวัง บังเอิญ เจ้าชายอภัย พระราชโอรสพระเจ้าพิมพิสาร ทรงเก็บไปเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรม เด็กน้อยคนนี้ต่อมาได้จบการศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากสำนักอาจารย์ ทิศาปาโมกข์ ได้เป็นแพทย์หลวงประจำพระราชสำนักเมืองราชคฤห์ และได้ถวายตนเป็นนายแพทย์ถวายการอุปัฏฐากพระพุทธองค์ในเวลาต่อมา

พระเจ้าพิมพิสารมีพระราชโอรสชื่อ อชาตศัตรู ผู้ซึ่งได้ทำ “ปิตุฆาต” เพราะหลงเชื่อคำยุยงของพระเทวทัต แม้อชาตศัตรูเองก็ถูกพระราช โอรสปลงพระชนม์ พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ถูกพระราชโอรสของตนปลง พระชนม์เช่นกัน ว่ากันว่า ฆ่าติดต่อกัน 7 ชั่วโคตรทีเดียว ประชาชนทนเห็นพระราชวงศ์ปิตุฆาตต่อไปไม่ไหว จึงรวมตัวกันปฏิวัติล้มรัฐบาล ไทยรักไทย เอ๊ย ราชวงศ์โมริยะ สถาปนาราชวงศ์ใหม่สืบต่อมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น