++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นักวิชาการชี้ วัยโจ๋อ่อนความรู้เรื่องเซฟเซ็กส์ ต้นเหตุท้อง-แท้ง-เอดส์

นักวิชาการ แนะพ่อแม่-ครู จับมือสอนเซฟเซ็กส์ แก้ต้นเหตุทำแท้ง ดันปรับหลักสูตรสอนเพศศึกษาเป็นวิชาบังคับระดับมหาวิทยาลัย ชี้เด็กยังเข้าใจผิดเรื่องเซ็กส์ เหตุเสี่ยงท้อง - แท้ง - เอดส์

ผศ.ดร.จันทร์วิภา ดิลกสัมพันธ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) ในฐานะนักวิชาการด้านเพศศึกษา และวิทยากรการอบรมด้านเพศศึกษา ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวถึงการที่ รมว.ศึกษาธิการมีนโยบายการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาเพศศึกษา ว่า ตนเห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักสูตรการสอนวิชาเพศศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ควรบรรจุเป็นวิชาศึกษาทั่วไปที่นิสิตนักศึกษาทุกคนจะได้เรียนรู้ ที่สำคัญในระดับนโยบายควรขับเคลื่อนอย่างจริงจัง มีการกำหนดยุทธศาสตร์รณรงค์เซฟเซ็กส์อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจ เพราะการสอนเรื่องเพศศึกษาคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชนที่ดีกว่าการออกกฎหมายทำแท้งที่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ



ผศ.ดร.จันทร์วิภา กล่าวต่อไปว่า จากการทำวิจัยเรื่อง ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ของนักศึกษาหญิงระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวมีผลที่ทำนายอนาคตล่วงหน้าไว้ว่า สังคมในอีก 10-20 ปีข้างหน้า คนจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศจากการหญิงขายบริการทางเพศ ไปมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก ซึ่งระบาดในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ซึ่งตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะคนมีความมั่นใจว่า หากมีเพศสัมพันธ์กับแฟนจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ตนได้ทำการสำรวจในชั้นเรียนเพศศึกษาของ มบส. ทุกๆ ปี จะพบว่า นิสิตส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องเพศศึกษาที่แท้จริง และให้ข้อมูลว่าการเรียนในระดับมัธยมศึกษา ครูไม่กล้าสอนเรื่องเพศ จะให้เด็กไปอ่านด้วยตนเอง หรือครูบางรายก็สอนแบบหยาบโลน เด็กที่เรียนรู้สึกอายและอึดอัดไม่อยากเรียน

“ เด็กส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจและความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ว่า ไม่ควรสวมใส่ถุงยางอนามัย เพราะคนรักจะคิดว่าไม่ให้เกียรติ หรือผู้หญิงคนนี้คล่อง เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว จึงเชื่อว่า การหลั่งภายนอก การรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือ การคำนวณวันก่อนและหลังมีรอบเดือนที่เรียกว่า หน้า 7 หลัง 7 จะทำให้ไม่ตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดมาก และมีความเสี่ยงในการตั้งท้องและนำไปสู่การทำแท้งมากที่สุด"

ผศ.ดร.จันทร์วิภา กล่าวต่อไปว่า หลังจากสอนเพศศึกษาไปแล้ว เวลามีปัญหาเด็กจะวิ่งเข้ามาหาเพื่อปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิด เราเป็นผู้ใหญ่ควรเปิดใจอย่าไปด่าเด็กหรือมีอคติ จะห้ามไม่ให้เด็กมีเซ็กส์คงเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องแนะนำการป้องกันตัวเองในการมีเซ็กส์ที่ปลอดภัยไม่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงตั้งท้อง หรือการติดเชื้อเอดส์ สอนเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดที่ถูกต้อง ที่สำคัญควรอบรมให้พ่อแม่และครูต้องสอนเรื่องการควบคุมอารมณ์ทางเพศ และจริยธรรมทางเพศ โน้มน้าวและกลมเกลาให้วัยรุ่นมีจิตสำนึกเรื่องความเหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ตนเองมีความพร้อม


เคยพบว่านักศึกษาในชั้นเรียนของตัวเองตั้งครรภ์ทั้งที่อยู่ปีสุดท้าย เป็นคนเรียนดีขั้นเกียรตินิยม คงเพราะเผลอไป

ก็ได้ให้ความช่วยเหลือเต็มที่คือปกปิดให้ และทำเรื่องพักการศึกษาให้ ไม่ถึงกับเสียอนาคต แต่ชีวิตแย่ และจบช้าไป

ตอนนั้นคนเป็นครูอย่างเรารู้สึกเสียใจมาก เรื่องแบบนี้เกิดได้อย่างไรกันกับคนที่เรียนถึงมหาวิทยาลัยแล้ว

จบช้า พ่อแม่เสียใจ ไม่ได้เกียรตินิยม ขาดโอกาสทางอาชีพ และไม่สามารถเรียนรู้ชีวิตจนถึงเวลาที่พร้อมจริงๆ

ในที่สุดคิดได้ว่า ที่ต้องสอนให้นักศึกษาของเราไม่ใช่เพศศึกษา แต่ต้องสอนความรับผิดชอบต่อตนเองให้สุดๆ

การรู้จักรับผิดชอบต่อตนเอง จะไม่กล้าทำสิ่งที่เสี่ยง ถ้าทำ-ต้องไม่เสี่ยง ชีวิตจะ under control มีเหตุ-มีผล

ครูต้องสอนให้นักศึกษาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ไม่ใช่แค่อายุผ่านไป เป็นบัณฑิตที่แม้แต่ตนเองก็ยังเอาตัวไม่รอด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น