++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ข้อคิดจากน้องกัน & น้องกี้ (พิการ...ก็เพียงกาย)

เรื่องของน้องกัน & น้องกี้นี้ ทางรายการเจาะใจได้เคยนำมาเสนอไว้ตั้งแต่ปี 2007 ในช่วงส่งความสุข ในรายการเจาะใจภาพที่เห็น น้องกัน & น้องกี้มีความสุข ร่าเริงมากมาย เพราะน้องเขาได้เที่ยวได้เจอกันคนที่เขาอยากเจอ (เป็นสิ่งที่รายการมอบให้เป็นของขวัญกับน้องสองคนนี้ในวันนั้น)

ในแต่รายการ คนค้นคน ภาพที่เห็นมันสะท้อนความรู้สึกจริง ๆ ของน้อง (โดยเฉพาะน้องกัน) ที่ต้องทนอยู่กับความเจ็บป่วยทางกาย โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ มันทำให้เราดูแล้วก็น้ำตาหลั่งออกมาโดยไม่รู้ตัว จนวันนี้รายการจบไปแล้ว แต่เมื่อกลับมานึกถึงก็ยังคงร้องไห้ได้ต่ออีก T_T

แต่ท่ามกลางความเศร้าใจ มันก็แฝงอะไรไว้ให้เราย้อนกลับมาคิด มาพิจารณาตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน

น้องกัน และน้องกี้ เป็นเด็กที่เป็นโรคทางพันธุกรรม ที่น้องเรียกว่า Metabolic ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าโรคนี้จริง ๆ แล้วเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องกัน-น้องกี้ก็คือ มีสารตัวหนึ่งเกาะอยู่ตามกระดูก ตามข้อทำให้เมื่ออายุมากขึ้น มันจะทำลายการเจริญเติบโตส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่นถ้าไปเกาะที่หู หูก็จะไม่ได้ยิน หรือถ้าไปเกาะที่ตา ก็จะทำให้ตาฝ้าฝาง จนถึงมองไม่เห็นได้ และเมื่อมันไปเกาะตามกระตูก และข้อต่าง ๆ ในระยะยาวมันก็จะทำให้ไม่สามารถนั่ง เดิน หรือเคลื่อนไหวร่างกายตั้งแต่อกลงมาได้ (ตอนนี้น้องกันเป็นถึงขั้นนี้แล้ว ได้แต่นอนอย่างเดียว ในขณะที่น้องกี้ยังสามารถวิ่งเล่นได้ มองเห็นได้ แต่หูฟังไม่ค่อยได้ยินต้องใช้เครื่องช่วยฟัง)

โรคนี้ตามที่น้องกันบอก ก็คือไม่มีทางรักษาได้หาย ต้องทนรับสภาพไป น้องกัน-น้องกี้ไปหาหมอมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้นได้เลย รอเพียงเวลาที่จะให้สภาพร่างกายมันเสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ จนในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจาก "นอนรอความตาย"

ตอนนี้น้องกี้ ยังสามารถวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ขี่จักรยานได้เหมือนเด็กปกติ ซึ่งสภาพนี้ก็เคยเกิดกับน้องกันเช่นเดียวกัน จนวันหนึ่ง น้องกันเริ่มเดินไม่ได้ต้องนั่งอย่างเดียว จนมาเป็นนั่งก็ไม่ได้ต้องนอนอย่างเดียว แม่น้องกันบอกว่า แรก ๆ น้องกันก็รับไม่ได้ว่าทำไมจากที่เคยเดินได้ กลับมาเป็นเดินไม่ได้ และทำอะไรไม่ได้เลย

น้องกันมีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าน้องกันจะไม่มีความฝัน ความอยาก หรือความต้องการอะไรเลย น้องกันบอกว่า "ผมมีความฝันที่ผมอยากทำ ผมอยากทำตัวเป็นประโยชน์กับคนอื่น แต่ผมก็ทำไม่ได้"

(จำได้ว่าก่อนหน้านี้ มีหนังสือเล่มหนึ่ง ทำออกขาย จำไม่ได้ว่าชื่อหนังสืออะไร โดยที่รายได้ที่ได้มอบให้กับโรงพยาบาล หรือศูนย์อะไรซักอย่างเพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับโรคที่น้องกัน-น้องกี้เป็นอยู่ ตอนนั้น น้องกัน-น้องกี้ได้ไปร่วมเป็น presenter ให้ด้วย น้องกันก็ไปร่วมงานโดยที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพที่ต้องนอนอย่างเดียว แต่ก็ยินดีไปช่วยในงานนั้นด้วย นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราชื่อว่าน้องกัน-น้องกี้เขาคงจะมีความสุขมาก ๆ ในวันนั้นเหมือนกัน)

ทุก ๆ วันน้องกัน จะนอนอยู่กับที่นอนที่วางอยู่บนพื้น โดยมีวิทยุวางอยู่ติดข้างหู (เวลาที่ครอบครัวน้องกันไปเที่ยวทะเล เพราะน้องกี้อยากไป น้องกันก็จะไปนอนอยู่ริมทะเลโดยมีวิทยุอยู่ข้างกายเช่นเคย

น้องกันฟังอะไรน่ะเหรอค่ะ ....... น้องกันฟังธรรมะค่ะ ช่วงเวลาอย่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่น้องกันจะทำได้ก็คือการศึกษาธรรมะ ศึกษา และปฏิบัติ ในระหว่างวันที่น้องกันนอนอยู่ น้องกันจะทำการสวดมนต์อยู่ตลอด น้องกันบอกว่า "เป็นการเจริญสติ กันต้องทำเพื่อให้กันมีสติ มีอารมณ์ที่เป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา เพื่อรอวันนั้นที่จะมาถึง .... วันตาย.... วันที่กันรอคอย"

(น้องกันรอคอยจริง ๆ ค่ะ เพราะน้องกันจะบอกตลอดว่า อยากให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ )


น้องกันบอกว่า อยากให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ กันอยากจะหลุดพ้นจากสภาพนี้ที่เป็นอยู่ อยากไปเกิดในภพใหม่ ภพที่น้องกันจะไม่ต้องทนอยู่ในสภาพนี้ ดังนั้นน้องกันจึงต้องเร่งสะสมบุญ (น้องกันเชื่อว่าที่เป็นอย่างปัจจุบันนี้ ก็เพราะเป็นกรรมเก่า ที่น้องกันได้เคยไปทำไว้กับใคร ๆ ในอดีต)

น้องกันอยากไปวัดทำบุญ แต่ก็ไม่อยากรบกวนแม่ ไม่อยากทำให้แม่ลำบาก เพราะแม่ต้องหอบหิ้วน้องกันไปในวัด แต่ใจก็อยากเข้าวัด เพราะเชื่อว่าจะได้พบพระรัตนตรัย คนเป็นแม่ แน่นอนค่ะ มันไม่ลำบากเลยกับเรื่องแค่นี้ เพียงแค่ขอให้น้องกันมีความสุข แม่ก็ยินดีทำเสมอ

น้องกันยังเป็นห่วงน้องกี้ เพราะว่าสักวันหนึ่ง น้องกี้ก็คงเป็นเหมือนน้องกันเช่นเดียวกัน น้องกันอยากให้น้องกี้สนใจในธรรมะ ไม่ใช่วิ่งเล่นอย่างเดียว แต่น้องกันก็ไม่ห้าม เพราะเชื่อว่าชีวิตใครก็ชีวิตมัน ไม่มีใครบังคับใครได้ และก็อยากให้น้องกี้ได้มีความสุขกับการเล่นเต็มที่ในขณะที่ยังทำได้


นี่คือที่จำได้ บางส่วนอาจจะไม่ใช่ข้อความที่น้องกันพูดเป๊ะ ๆ แต่ก็มีความหมายใกล้เคียงกัน


ภาพที่เราเห็น จะเห็นน้องกันนอนอยู่เฉย ๆ ดูสงบนิ่ง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
แต่ในความเป็นจริงแล้ว น้องกันก็มีความเจ็บปวดร่างกาย และเช่นกัน
จิตใจน้องกันก็คงเจ็บปวดมาก แต่เพราะธรรมะนำทาง น้องกันสามารถควบคุมสติ
เข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้น้องกันรู้ว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรที่น้องกันจะมาฟูมฟาย อารมณ์เสีย (แม่บอกว่าตอนแรก ๆ น้องกันจะโมโห หงุดหงิด เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องเป็นเช่นนี้) เพราะน้องกันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เมื่อเปลี่ยนไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือ ทำใจยอมรับ ทำความเข้าใจ และ ทำตัวเองให้มีความสุข มีจิตใจ อารมณ์ที่ดี เพื่อเตรียมพร้อมที่จะไปสู่โลกใหม่

ชีวิตของน้องกัน ในตอนนี้ ส่วนตัวเราเชื่อว่าน้องกันสงบแล้ว และพร้อมแล้วจริง ๆ ที่จะไปสู่โลกใหม่ เพียงแต่รอเวลาที่มันจะมาถึงเท่านั้น

ความตายสำหรับน้องกัน ไม่น่ากลัวเลยซักนิด เพราะน้องกันได้เตรียมพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้แล้ว ที่จะเดินทางไปในโลกใบใหม่ โลกแห่งความหวังของน้องกัน


ในท้ายสุดนี้ อยากฝากข้อคิดให้คนที่ได้อ่านเรื่องนี้ได้ลองกลับไปนึกคิดทบทวนดูซักนิด

- คุณได้ใช้ชีวิตของคุณ (ชีวิตที่ครบถ้วนสมบูรณ์) อย่างคุ้มค่าหรือยัง ?

- ความสมบูรณ์ของชีวิตได้ช่วยให้คุณเข้าใจในชีวิต และคุณค่าของชีวิตทั้งของตัวคุณเอง และของคนอื่น ๆ บ้างหรือไม่ ?

- คุณมีความฝัน (น้องกันก็มีความฝัน แต่ไม่สามารถทำได้ตามฝัน) คุณได้พยายามทำตามความฝันของคุณบ้างไหม อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป แล้ววันนึงกลับมานั่งนึกว่า ฉันมีความฝันที่ฉันอยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ และแม้ว่าตอนนี้อยากทำ ก็ทำไม่ได้แล้ว

- คุณได้เตรียมตัวสำหรับ "ความตาย" ไว้บ้างหรือยัง ? โลกหน้าของคุณจะดีหรือร้ายอย่างไร มันอยู่ที่ผลกรรมที่คุณทำอยู่ในชาตินี้ ไม่มีใครช่วยใครได้

- เวลาที่คุณเจอปัญหาที่คุณแก้ไขไม่ได้ คุณจะทำอย่างไร ?
(สิ่งที่น้องกันทำก็คือหาความรู้ วิธีการที่จะทำให้ทุกข์ที่เกิดจากปัญหานั้นลดน้อยลง น้องกันบอกว่า การฟังธรรมะของน้องกันเป็นการศึกษาหาความรู้ ทำให้น้องกันเข้าใจถึงเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่นี้ และเมื่อน้องกันเข้าใจ น้องกันก็สามารถอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเป็นสุข นั่นเป็นสิ่งเดียวที่น้องกันสามารถทำได้ตามสภาพของตัวเอง แล้วคุณละที่มีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์แข็งแรง คุณทำอย่างไรกับปัญหาบ้าง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น