++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การแก้ปัญหาการทำแท้ง

โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 29 พฤศจิกายน 2553 17:37 น.



เรื่องการทำแท้งเถื่อนยังอยู่ในความสนใจของผู้คนในวงสังคม และพวกเราหลายคนได้ทำหน้าที่สื่อ แพร่ข่าวและเสนอความคิดเห็นเป็นระยะๆ

นักการเมืองกำลังจะเสนอแก้กฎหมายทำแท้ง ให้ทำแท้งง่ายขึ้น จะร่างกฎหมายใหม่อย่างไร โดยรวมแล้วก็คงเหมือนๆ กับเมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว

ผมเคยค้านเรื่องนี้มาก่อน จึงเสนอความเป็นมาให้ทราบ ส่วนจะคิดเหมือนกับผมหรือไม่ ไม่เป็นไรครับ

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

๒๙ พ.ย.๕๓



การแก้ปัญหาการทำแท้ง


เมื่อมีการทำแท้งเถื่อนมากขึ้น ก็มักจะเสนอให้แก้กฎหมายทำแท้งที่มีอยู่เดิมให้เป็นกฎหมายทำแท้งเสรี คือให้ทำแท้งได้ง่ายขึ้น เป็นการแก้ที่ผิดทาง ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย ต้องแก้โดยวิธีอื่น

กฎหมายทำแท้งที่มีอยู่เดิมอนุญาตให้ทำแท้งได้ ถ้าจะเป็นอันตรายต่อหญิงผู้เป็นแม่ หรือหญิงนั้นถูกข่มขืน และต้องทำแท้งโดย แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมาย

กฎหมายทำแท้งเสรีถูกคว่ำไปเมื่อ ๒๙ ปีก่อน

ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอร่างกฎหมายใหม่เพื่อแก้กฎหมายเก่าที่ใช้มา ๒๔ ปีแล้ว ให้ทำแท้งได้ง่ายมาก เท่ากับอนุญาตให้ทำแท้งเสรีนั่นเอง ตอนนั้น “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” เป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ชักชวนประชาชนคัดค้านอย่างเต็มที่

ประชาชนที่ร่วมคัดค้านมีจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ เขียนจดหมายไปขอให้สมาชิกวุฒิสภาต่อต้านไม่ยอมให้กฎหมายผ่าน ผลปรากฎว่าสมาชิกวุฒิสภาค้านกฎหมายฉบับนั้นด้วยคะแนน ๑๔๗ ต่อ ๑ ทั้งๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างท่วมท้น ๓ วาระแล้ว

ตามขั้นตอนของการพิจารณา เมื่อสมาชิกวุฒิสภาคว่ำร่างกฎหมายดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องทบทวนอีกครั้งหากลงมติยืนยัน ก็จะเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์ไม่มีการคัดค้านต่อไปอีก ประชาชนได้ทำตามที่ “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” ขอร้อง ระดมเขียนจดหมายถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคัดค้านร่างกฎหมายทำแท้งเสรี

สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรฟังเสียงมหาชนจึงปล่อยให้กฎหมายตกไป ไม่มีใครกล้านำเข้าสู่สภาอีกเลย นับเป็นเวลา ๒๙ ปีจนถึงปัจจุบัน

คำอภิปรายของ พันเอกจำลอง ศรีเมือง สมาชิกวุฒิสภา

เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๔

“ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ นับตั้งแต่มีการรณรงค์คัดค้านกฎหมายทำแท้งฉบับนี้เป็นต้นมา กระผมได้รับข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเฉพาะสูติแพทย์ ทั่วทุกภาคของปะเทศ ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยตรงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มั่นใจว่า การคัดค้านเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีผู้คัดค้านกฎหมายทำแท้งมากขึ้นๆ ผู้สนับสนุนน้อยลงๆ เพราะฝ่ายคัดค้านได้ให้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งสิ้น ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า กฎหมายฉบับเก่าได้ใช้กันมาถึง ๒๔ ปี เป็นกฎหมายที่ดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด

ปกติการที่จะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น จะกระทำก็ต่อเมื่อมั่นใจว่า ดีกว่าของเดิมอย่างเห็นได้ชัด กฎหมายฉบับนี้มีเสียงคัดค้านกันทั่ว ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ แต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น กฎหมายใหม่ฉบับนี้ ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม

กระผมขอประทานกราบเรียนชี้แจงเป็นข้อๆ พร้อมทั้งอ้างหลักฐานทุกขั้นตอนมิได้กล่าวลอยๆ หรือด้นเดาเอาเอง แต่อย่างใด

ทางโลก เมื่อพิจารณากฎหมายใหม่นี้ทีละข้อแล้ว จะเห็นว่าไม่ถูกต้องคือ

ข้อหนึ่ง อนุญาตให้ทำแท้งได้ เพื่อสุขภาพทางกาย หรือสุขภาพทางจิตของหญิงผู้เป็นแม่

คำว่า “สุขภาพทางจิต” นั้น กว้างขวางมาก อาจจำมาอ้างกันง่ายๆ ทำให้กฎหมายใหม่ฉบับนี้ เป็นกฎหมายทำแท้งเสรี ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้อภิปรายออกอากาศที่กรมประชาสัมพันธ์เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคมนี้ ว่า “ลำพังข้อนี้ข้อเดียวก็สามารถทำแท้งได้ทุกราย”

ข้อสอง อนุญาตให้ทำแท้งได้ หากทารกในครรภ์คลอดออกมาจะพิการทางกายหรือจิต

ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลหญิง เคยทำคลอดมากว่า ๓๐ ปี ได้กล่าวไว้ในรัฐสภาแห่งนี้ ในการสัมมนาเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ว่า เป็นการยากอย่างยิ่งที่จะตรวจว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว จะพิการ แม้ขณะนี้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะเจริญขึ้นมากก็ตาม ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำการตรวจ ที่ว่าแม่เป็นหัดเยอรมันแล้ว ลูกออกมาจะพิการ ก็ไม่แน่ อธิการบดีท่านหนึ่งพาภรรยาที่เป็นหัดเยอรมันตั้งครรภ์ได้ ๓ เดือน มาพบกับท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว เพื่อขอให้ทำแท้งโดยเกรงว่าลูกออกมาแล้วจะพิการ ท่านนายแพทย์เสม ก็ยับยั้งไว้ เด็กคลอดออกมาก็ปรากฎว่าครบอาการ ๓๒ บริบูรณ์ ขณะนี้เด็กจบปริญญาแล้ว พบกันที่ใดก็ตาม ท่านอธิการบดีท่านนั้นจะให้เด็กไปกราบไหว้ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม ที่ได้กรุณาช่วยชีวิตไว้

ผู้เสนอกฎหมาย อ้างเหตุผลสำหรับข้อนี้ว่า เพื่อเศรษฐกิจและสังคมหากเด็กคลอดออกมาแล้วพิการจะไม่เพิ่มผลผลิต เสียเศรษฐกิจ ใครพบเห็นก็เวทนา ถ้าเรารับหลักการข้ออ้างนี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มีกลุ่มชนอีกหลายกลุ่มที่เข้าข่ายหลักการนี้ แต่ละกลุ่มมีจำนวนมากมายกว่าเด็กที่จะเกิดมาแล้วพิการหลายเท่านัก เช่น คนแก่ที่เป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หาย และคนที่เกิดมาแล้วพิการภายหลัง จากอุบัติเหตุหรือจากการสู้รบกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เป็นต้น

ศาสตราจารย์แพทย์หญิงคุณมานา บุญคั้นผล ซึ่งเป็นอาจารย์และเป็นสูติแพทย์มากกว่า ๓๐ ปี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซ็นต์หลุย ได้กล่าวที่คณะสาธารณสุขศาสตร์เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ว่า ประเทศที่ออกกฎหมายทำแท้งเสรีหลายประเทศ หลังจากที่ได้ออกกฎหมายทำแท้งเสรีแล้ว ได้ออกกฎหมายตามมาภายหลัง อนุญาตให้ใช้หลักการอูทานนาเซีย คือ หลักการที่ให้กลุ่มชนที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นตายอย่างสงบ ข้อนี้จึงไม่มีเหตุผลอีกเช่นกันครับ และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ข้อสาม อนุญาตให้ทำแท้งได้ เมื่อการคุมกำเนิดของหญิงหรือสามีซึ่งได้กระทำภายใต้การควบคุมตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแล้วไม่ได้ผล ข้อนี้แหละครับที่ทำให้กฎหมายทำแท้งฉบับใหม่ เป็นกฎหมายทำแท้งเสรียิ่งขึ้น

นายแพทย์สุวัฒน์ จันทรจำนง สูติแพทย์แห่งวชิรพยาบาลและเป็นกรรมการบริหารของสมาคมสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้กล่าวยืนยันไว้ในเอกสารที่มีถึงท่านวุฒิสภาชิก ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ว่า ข้อที่อนุญาตให้ทำแท้งได้ เมื่อการคุมกำเนิดผิดพลาดนี้ ใครจะพิสูจน์ได้ว่าเหตุผลนั้นเป็นความจริง และวงการแพทย์ก็ยืนยันว่า การตั้งครรภ์เนื่องมาจากความล้มเหลวในการคุมกำเนิดนั้น อัตราต่ำมาก ไม่ว่าจะเป็นการกินยา ฉีดยา ใส่ห่วงหรือทำหมัน รวมค่าเฉลี่ยแล้วการคุมกำเนิดมีโอกาสผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละหนึ่ง

นอกจากนั้น ยังไม่ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย หากคุมกำเนิดแล้วผิดพลาด ผู้ที่กระทำความผิดก็คือผู้หญิง ผู้ชาย หรือหมอ เด็กที่อยู่ในท้องไม่ได้มีความผิดอะไรจะไปลงโทษได้อย่างไร ที่อ้างกันว่ากฎหมายมาตราอื่นๆ ได้ประหารคนมาแล้วนับจำนวนมากขึ้น กฎหมายก็ได้ประหารแต่เฉพาะผู้กระทำผิดเท่านั้น นอกจากนี้ กฎหมายยังได้เอื้อมมือไปคุ้มครองสัตว์เดรัจฉานหลายชนิดที่อยู่ในดงในป่าอีกด้วย ทำไมกฎหมายจึงจะกลับมาอนุญาตให้ฆ่าเด็กในท้องได้

ส่วนข้อที่สี่นั้น เหมือนกับกฎหมายเก่า ซึ่งได้ใช้มาด้วยดีตลอด ๒๔ ปี กระผมจะขออนุญาตไม่กล่าวถึง ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในกฎหมายแล้ว ผู้เสนอยังได้อ้างเหตุผลอื่นๆ ประกอบอีกประการแรกอ้างว่า กฎหมายใหม่ฉบับนี้ออกมาแล้วจะลดจำนวนหมอเถื่อนลง ข้อนี้ตรงกันข้ามครับ

รองศาสตราจารย์นายแพทย์บรรพต บุญยศิริ นายกสมาคมสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยได้กล่าวยืนยันที่สภาแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ในการสัมมนาผลกระทบจากกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ว่า หลังจากออกกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ไปแล้ว หมอเถื่อนจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

กฎหมายใหม่เปิดโอกาสให้ทำแท้งง่ายขึ้น คนจะทำแท้งมากขึ้น แต่หมอปริญญาที่จะทำแท้งมีจำนวนเท่าเดิม คนไข้จะต้องไปหาหมอเถื่อนมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งหมอปริญญาย่อมเรียกค่าทำแท้งสูงขึ้น ผู้ที่จะทำแท้งสู้ราคาไม่ไหว ก็ต้องไปหาหมอเถื่อนเพิ่มขึ้นอยู่ดี

มีสถิติปรากฎในหลายประเทศว่า หลังจากออกกฎหมายเสรีแล้วการลักลอบทำแท้งกับหมอเถื่อนนั้นจะมีเพิ่มขึ้น เช่น จากวารสารของสมาคมจิตแพทย์ ประเทศโรมาเนีย ได้ใช้กฎหมายทำแท้งเสรีตั้งแต่คริสต์ศักราช ๑๙๕๖ ถึงคริสต์ศักราช ๑๙๖๕ ปรากฏว่า การลักลอบทำแท้งกับหมอเถื่อนได้เพิ่มขึ้นถึง หนึ่งล้านหนึ่งหมื่นห้าพันราย ในรอบปีต่อมาประเทศโรมาเนียก็ได้ออกกฎหมายห้ามทำแท้ง กลับอย่างเก่าอีก

ที่กระผมว่าหมอปริญญาที่ทำแท้งมีจำนวนเท่าเดิมนั้น ท่านศาสตราจารย์แพทย์หญิงคุณมานา บุญคั้นผล ได้ยกตัวอย่างว่าโรงพยาบาลจุฬาฯ มีสูติแพทย์ ๔๐ กว่าคน แต่จะสมัครใจทำแท้งให้แก่หญิงมีครรภ์อยู่ ๒-๓ คนเท่านั้น เมื่อกฎหมายใหม่ออกมา หมอที่สมัครใจจะทำแท้งก็ยังมี ๒-๒ คนเท่าเดิม เพราะเป็นเหตุผลส่วนตัว ซึ่งใครจะไปบังคับเขาไม่ได้ โอกาสนี้น่าวิตกยิ่งครับ

น่าวิตกอย่างยิ่ง สำหรับคนยากจนที่ไปตั้งความหวังผิดๆ เอาไว้ว่า ถ้ากฎหมายใหม่นี้ออกมา ตนก็สามารถจะไปทำแท้งได้ฟรีกับหมอปริญญาที่อยู่ตามโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งจะต้องผิดหวัง เพราะหมอทำแท้งมีไม่พอบางท่านคาดการณ์เอาว่า เมื่อกฎหมายใหม่ออกมาหญิงที่ทำแท้งจะไม่มากขึ้นเพราะการทำแท้งไม่ใช่ของเอร็ดอร่อยอะไร ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ การขโมย การปล้นสะดม ก็ไม่ใช่ของเอร็ดอร่อยเหมือนกัน ถ้าโอกาสอำนวยมากขึ้น เจ้าของไม่ใส่กลอนประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ขโมยย่อมเพิ่มขึ้นมากแน่ๆ ทั้งๆที่รู้แล้วว่า ถ้าพลาดอาจจะถูกจับติดคุกติดตะราง และถูกยิงถึงแก่ความตายได้

นายแพทย์วิรัตน์ อนันต์วรนิจ สูติแพทย์แห่งโรงพยาบาลสงขลา ได้ไปร่ำเรียนที่ประเทศอังกฤษนับตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ได้ยืนยันในการอภิปรายที่สงขลาเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม นี้ว่า การออกกฎหมายทำแท้งเสรีของประเทศอังกฤษนั้นได้ปรากฎผลออกมาแล้ว คือก่อนออกกฎหมายทำแท้งเสรีนั้น ที่ประเทศอังกฤษมีผู้ทำแท้งร้อยละ ๓ หลังจากออกกฎหมายทำแท้งเสรีแล้วผู้ทำแท้งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๓๐

ประการที่สอง ผู้สนับสนุนกฎหมายใหม่ฉบับนี้ ได้อ้างถึงเด็กขาดรักว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ต้องการ ปล่อยให้เด็กคลอดออกมา เด็กจะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม จะติดยาเสพติดและเป็นอาชญากรต่อไป ข้อนี้ศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ได้อภิปรายออกอากาศทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม นี้ว่า ไม่แน่เสมอไปที่เด็กขาดรักจะเสียหาย โดยท่านได้ยกตัวอย่างชีวกโกมารภัจจ์ อาจารย์แพทย์เก่าแก่ของโลกก็เป็นเด็กขาดรักเช่นกัน มารดาเป็นหญิงโสเภณีเสียด้วยซ้ำ เด็กที่พ่อแม่รักเสียอีก เกิดมาแล้วไม่ดีมีจำนวนมากมาย เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมก็เห็นๆกันอยู่

อีกประการหนึ่ง ถ้าจะพิจารณาหลักการของกฎหมายก็ไม่ถูกต้อง เพราะการทำแท้งกรณีนี้ เป็นการตัดสินล่วงหน้าว่า ถ้าปล่อยให้เขาเกิดมาเขาจะเลว แต่ที่ศาลตัดสินแล้วไม่ดีอยู่ในคุกในตะรางเป็นแสนๆคน เสียทั้งเศรษฐกิจและสังคมอยู่แล้ว เรายังเลี้ยงเขาได้

ประการที่สาม อ้างว่าคนเกิดมามาก เลยต้องให้ทำแท้งง่ายๆ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ ถ้าปล่อยให้กฎหมายทำแท้งฉบับนี้ผ่านด้วยเหตุผลนี้ละก็ แสดงว่าเราหวาดกลัวเหลือเกิน เรากลัวแม้กระทั่งเด็กที่ยังอยู่ในท้องแม่ว่าจะมาแย่งเราอยู่ มาแย่งเรากิน การทำแท้งหรือการฆ่าไม่ใช่การคุมกำเนิด ถ้าใช่ ต่อไปก็อาจจะมีการส่งเสริมให้คนตายในวิธีอื่นๆ ที่ง่ายกว่านี้เพื่อให้อัตราเกิดต่ำสุด เมื่อนั้นก็ถึงซึ่งกลียุค

ทางธรรม เนื่องจากกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ เปิดโอกาสให้ฆ่าเด็กบริสุทธิ์ ได้ง่ายขึ้น ศาสนาใหญ่ๆ ทั้งสามของโลกที่มีอยู่ในเมืองไทยขณะนี้ คือ ศาสนาพุทธ ศาสนาศริสต์ และศาสนาอิสลาม จึงยืนหยัดคัดค้านว่าขัดต่อหลักธรรมคำสั่งสอนของศาสนาอย่างยิ่ง ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ หากวุฒิสมาชิกยอมให้กฎหมายผ่านไปในวันนี้ เราคงจะพูดด้วยความภาคภูมิใจอีกต่อไปไม่ได้ว่า ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งศาสนา และประเทศไทยเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในโลก เพราะกฎหมายทำแท้งเสรีฉบับนี้ได้ลบล้างศีลทั้ง ๕ ข้อ ของพระพุทธองค์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง เปิดโอกาสให้ฆ่าเด็กที่อยู่ในท้องเปิดโอากาสให้ปล้นชีวิตให้สำส่อนทางกาม ให้โป้ปดมดเท็จโดยอ้างสาเหตุในการทำแท้ง และขาดสติยั้งคิดเสียยิ่งกว่าเสพของมึนเมาใดๆ ศีลห้าจะหมดไป ด้วยกฎหมายใหม่ฉบับนี้ คุณธรรมอื่นๆ จะเสื่อมสลายไปด้วย

ณ สภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ สมาชิกชองสภาทั้งสองได้อภิปรายแล้วว่าปัญหาของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ เรายังไม่สามารถแก้ไขไปได้ด้วยดี ก็เพราะว่าเรายังมีการกอบโกยขูดรีดกันอยู่ ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ อันการกอบโกยขูดรีดนั้น เป็นเพียงศีลละเอียดๆ ของศีลข้อที่สองเท่านั้น ถ้าเราปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านไป ได้ทำลายศีลหยาบๆ ที่เห็นชัดๆ ถึง ๕ ข้อแล้ว ก็ป่วยการจะกล่าวไปไยกับศีลละเอียดข้ออื่นๆ

ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์บุญธรรม สุนทรเกียรติ ประธานมูลนิธิวิจัยทางการแพทย์แห่งวชิรพยาบาล และกรรมการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาขององค์การอนามัยโลก ได้กล่าวไว้ในเอกสารที่มีถึงวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคมนี้ หากกฎหมายฉบับนี้ออกมา แพทย์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาทำแท้งจะร่ำรวยมาก เช่นเดียวกับนักทำแท้งอาชีพในอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ส่วนแพทย์ที่ลักลอบทำแท้งเป็นปกติอยู่ก่อนแล้ว ก็จะทำโดยออกหน้าออกตา ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป เมืองไทยจะถึงซึ่งความหมดเนื้อหมดตัว ในเรื่องเมตตาที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่างก็จะเอาตัวรอด

กฎหมายใหม่ฉบับนี้ สนับสนุนให้ชายหญิงขาดความรับผิดชอบ ซึ่งขณะนี้ความไม่รับผิดชอบของคนเราก็มีมากอยู่แล้ว จะเสริมให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ปัญหาต่างๆ ก็จะตามมา คณะสูติแพทย์ โรงพยาบาลสระบุรี นำโดยแพทย์หญิงประไพ สุดบรรทัด แพทย์หญิงเสริมทรัพย์ ดำรงรัตน์ และแพทย์หญิงภรณี วรานันตกุล ได้กล่าวไว้ในเอกสารที่มีถึงท่านวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ว่า

“แพทย์มีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ มิใช่คอยทำลายล้าง ขออย่าได้ยืมมือนายแพทย์ไปเป็นฆาตกร เพื่อสนองกามราคะของประชาชนผู้ไร้ศีลธรรมเลย โลกจะเป็นกลียุคมากกว่านี้ เพราะขนาดยังไม่ได้ทำแท้งเสรีจิตใจก็เหี้ยมโหดฆ่ากันอยู่แล้วทุกวัน”

ลูกมีสิทธิที่จะถูกแม่และพ่อฆ่าได้ นั่นหรือความหวังดีที่แม่และพ่อมอบไว้ให้แก่ลูก

ความรักระหว่างลูกกับแม่และพ่อนั้น จะกลายเป็นความรักที่มีเงื่อนไขเสียแล้ว เงื่อนไขของความพร้อมไม่พร้อม เงื่อนไขของความคุ้มไม่คุ้ม และเงื่อนไขของกำไรขาดทุน

บทเพลงสรรเสริญพระคุณแม่และพ่อ ที่สรรเสริญอย่างสุดรักสุดบูชานั้น คงจะโยนทิ้งได้แล้วถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่าน

เท่าที่กระผมได้กราบเรียนมาแล้ว ท่านวุฒิสมาชิกคงจะเห็นได้ชัดว่ากฎหมายใหม่ฉบับนี้ ผิดทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่ใช่แก้ปัญหาปลายเหตุแต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติควรยับยั้งแล้วใช้กฎหมายเก่า โดยสนับสนุนส่งเสริมวิธีการต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ เพื่อลดการทำแท้งให่ได้ผลยิ่งขึ้น

วิธีที่หนึ่ง การคุมกำหนัด อย่างเช่นในศาสนาพุทธสอนให้ถือศีล ๕ เมื่อประชาชนถือศีลห้า โอกาสที่จะไปผิดลูกเขาเมียเขาก็ไม่มี โอกาสที่จะตั้งครรภ์โดยผิดประเพณีก็ไม่มี โอกาสที่จะไปทำแท้งก็มีโอกาสน้อย

วิธีที่สอง ลดกำหนัด ต้องเข้มงวดกวดขันแหล่งโลกีย์ บาร์ไนต์คลับ อาบ อบ นวด โรงแรมม่านรูด ช่องโสเภนี หนังโป๊ หนังสือโป๊ เทปลามกตลอดจนการแต่งกายของหญิงสาวที่เปิดโน่น เปิดนี่ เบนความสนใจของหนุ่มสาวให้ไปสนใจกีฬาดนตรี และกิจกรรมที่ดีอื่นๆ

วิธีที่สาม คุมกำเนิด ขณะนี้กำลังทำได้ผลอยู่แล้ว มีทั้งเจกยา แจกห่วง แจกถุงหรือคุมโดยธรรมชาติ เช่น วันโกนก็ให้ละ วันพระก็ให้เว้นเสียบ้าง

วิธีที่สี่ สังคมสงเคราะห์ ขณะนี้มีชมรมมูลนิธิสมาคมรับแก้ปัญหาการทำแท้งอยู่แล้ว โดยพูดจาหว่านล้อมยับยั้งการทำแท้ง ฝึกอาชีพให้ รับหาพ่อแม่ของเด็กที่จะคลอดออกมาและรับเลี้ยงดู ให้การศึกษาแก่เด็ก แม่หลายรายได้เปลี่ยนใจเมื่อคลอดออกมาแล้ว เพราะเห็นลูกที่ออกมานั้นน่ารัก เนื่องจากตนได้อุ้มท้องมาเป็นเวลา ๘ เดือน ๙ เดือน ก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่หาทางออกได้เอง โดยนำไปฝากปู่ย่าตายายเลี้ยงไว้ก็มีมาก

ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมานี้ ถึงกับท่านสมาชิกผู้แทนราษฎรต้องรีบพิจารณา แทนที่จะพิจารณาเรื่องอื่นๆ นั้น ก็เพราะผู้เสนอกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ได้ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยมีการลักลอบทำแท้งไม่ต่ำกว่าปีละ ๑ ล้านคน โดยถือสถิติจากหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทยหน้า ๑๔๑ แต่งโดยศาสตราจารย์นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง เรื่องนี้ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ได้กล่าวยืนยันที่รัฐสภาแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคมว่า ตัวเลขนี้ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจะต้องต่ำกว่านี้มาก เพราะหญิงตั้งครรภ์ในเมืองไทยมีประมาณปีละ ๑ ล้านกว่าๆ แล้วก็แท้งเองโดยธรรมชาติเสีย ๑ แสน ถ้าการลักลอบทำแท้งปีละ ๑ ล้านคนจริง ก็แสดงว่าหญิงที่ตั้งครรภ์เกือบทุกคนจะต้องไปลักลอบทำแท้ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เรื่องที่ปรากฎตามโรงพยาบาลต่างๆ นั้น มีเป็นจำนวนพันเท่านั้น ตามเอกสารที่นายแพทย์สุวัฒน์ จันทร์จำนง ได้ส่งถึงท่านวุฒิสมาชิกเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ แล้วท่านวุฒิสมาชิกที่เคารพครับ เกี่ยวกับกฎหมายทำแท้งฉบับใหม่นี้ ผู้ที่รู้เรื่องดีที่สุด และต้องเป็นผู้ลงมือปฏิบัติจริงๆ ก็คือ สูติแพทย์ เราจะไม่พิจารณาความเห็นของผู้แทนท่านเหล่านั้นดูบ้างหรือครับสูติแพทย์ทั่วประเทศมีประมาณ ๔๐๐ กว่าๆ ได้คัดเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการบริหารเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายนนี้

กรรมการบริหารของสูติแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ประชุมกัน ๑๑ ท่านเห็นด้วยกับกฎหมายทำแท้งฉบับนี้เพีง ๑ ท่าน ไม่ออกเสียง ๒ ท่าน มีคัดค้านมากถึง ๘ ท่าน ด้วยเหตุผลสรุปได้ ๙ ข้อ คือ

ข้อหนึ่ง จะไม่เกิดผลปฏิบัติต่อแพทย์โดยทั่วไป เพราะขัดกับความรู้สึกในด้านศีลธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์

ข้อสอง หญิงที่จะมาขอรับการทำแท้งจะเพิ่มมากขึ้น

ข้อสาม โรคแทรกซ้อนและผลเสียหายต่อผู้ใช้บริการ ที่ติดตามมาจะมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ข้อสี่ ในต่างจังหวัด แพทย์ภาครัฐบาลที่ขาดแคลนในการรักษาโรคให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว จะขาดแคลนยิ่งขึ้น

ข้อห้า ไม่สามารถลดอัตราเพิ่มของประชากร ซึ่งกำหนดในแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ห้าได้ โดยถือเอาการทำแท้งเป็นวิธีการคุมกำเนิด

ข้อหก อัตราตายจากหญิงที่ทำแท้งไม่มากมายเหมือยอย่างที่อ้างกันจากวารสารการแพยท์ที่เชื่อถือได้ ในกรุงเทพฯ จะตายไม่ถึง ๒๐ รายต่อปี

ข้อเจ็ด กฎหมายเดิมเปิดโอกาสให้แพทย์ทำแท้งหญิงได้อยู่แล้ว

ข้อแปด จะทำให้สังคมเสื่อม ไร้จริยธรรมและคุณธรรม

ข้อเก้า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมของชาติ ไม่มีความจำเป็นจะต้องออกกฎหมายมาให้แพทย์ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตของมนุษยชาติ ต้องทำหน้าที่ฆ่าชีวิตที่กำลังจะเกิดโดยไร้ความผิด

ท่านประธานและท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติครับ จากจดหมายที่หลั่งไหลมาทั่วสารทิศถึงท่านทั้งหลายนั้น แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจ ความไว้วางใจ ที่ประชาชนมีต่อวุฒิสมาชิก เขาเหล่านั้นฝากความหวังไว้กับท่านวุฒิสมาชิกทั้งหลาย ได้โปรดช่วยกันกลั่นกรองกฎหมายให้มีความรัดกุม มีความสุขุม และรอบคอบ

กระผมใคร่กราบเรียนวิงวอนท่านวุฒิสมาชิกทั้งหลาย ได้โปรดยับยั้งกฎหมายทำแท้งฉบับนี้ ซึ่งก็มิใช่เป็นการยับยั้งเสียทีเดียว เป็นเพียงส่งกลับไปให้ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีเวลารับทราบข้อมูลเพิ่มขึ้น

กระผมขอขอบพระคุณ ณ ที่นี้เป็นอย่างยิ่งครับ”


เป็นคำอภิปรายที่ทรงคุณค่า มีเหตุมีผล มีการอ้างอิงผู้รู้
ผ่านมา 29 ปีก็ยังใช้ได้ นักการเมืองปัจจุบันจะหาแบบ
ท่านจำลองไม่มีแล้ว วังเวงกับบ้านเมืองครับ
คนไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น