++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ฮิตทำสวย สธ.เผยหญิงไทยควักเงินปีละ 5.6 หมื่นล้าน เข้าฟิตเนส-สปา-ศัลยกรรม

สธ.เผยทั่วโลกฮิต ผลิตภัณฑ์และบริการประเภทต้านริ้วรอย ชี้ มีมูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนไทยควักเงินซื้อกว่า 5 หมื่น 6 พันล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายด้านฟิตเนส และสปา กว่า 1 หมื่น 2 พันล้านบาท ศัลยกรรมและทำทรีตเมนต์อีกร่วมหมื่นล้าน พบวัย 46-64 ปี กำลังในการซื้อสูงสุด

วันนี้ (2 ก.ย.) ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดประชุมวิชาการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพระดับนานาชาติ ครั้งที่ 2 จัดระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2553 โดยบริษัท เอ โฟร์ เอ็ม (A4M)ประเทศไทย จำกัด เพื่อนำเสนอเนื้อหาและเจาะลึกวงการเวชศาสตร์ชะลอวัย (ANTI-AGING) การรักษาสุขภาพที่ดีและการคงความหนุ่มความสาวไว้ พร้อมแสดงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี และให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการชะลอวัยและบริการทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดโรค การบริการและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับวงการสุขภาพ โดยมีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์จาก 40 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย มาเลเซีย ฯลฯ เข้าร่วมประชุมกว่า 500 คน

ดร.พรรณสิริ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทั่วโลกให้ความสนใจการดูแลสุภาพ โดยเฉพาะแสวงหาการชะลอวัยเพื่อให้มีสุขภาพดี และต้องการที่จะมีอายุยืนยาวมีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลในปี 2553 นี้ พบว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการชะลอวัย ซึ่งประกอบด้วย ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามิน เครื่องสำอาง ที่ใช้บำรุงและรักษาอาการที่เกี่ยวข้องในตลาดโลกมีอัตราการเติบโตสูงเฉลี่ย ร้อยละ 18-20 ต่อปี คาดว่า ในปีนี้จะมีมูลค่ามากถึง 291,000 ล้านเหรียญ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายตลาดประเภทนี้ จะเริ่มตั้งแต่กลุ่มวัยทำงานอายุ 30-50 ปี และกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่เริ่มเข้าสู่ช่วงอายุ 46-64 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาหาความรู้ในการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และมีกำลังซื้อสูงด้วย

ดร.พรรณสิริ กล่าวต่อไปว่า สำหรับ ไทย ในปี 2553 นี้ คนไทยมีค่าใช้จ่ายซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพประเภทดังกล่าวรวมกว่า 56,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายบริการออกกำลังกายและสปามูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท การรักษาสุขภาพที่ดีและศัลยกรรม และทำทรีตเมนต์เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีมีมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท ทุกตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 18-20 ต่อปี มีทั้งกลุ่มคนปกติเพื่อส่งเสริมสุขภาพ และผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูรักษา

ทั้งนี้ ในปี 2553 สธ.มีนโยบายด้านธุรกิจการส่งเสริมสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทย และสมุนไพรต่างๆ มาใช้ดูแลสุขภาพ เช่น สปา เป็นต้น ซึ่งสมุนไพรไทยขณะนี้มีหลายชนิดที่สามารถนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ใช้ในการบำรุงสุขภาพได้ เช่น ขมิ้นชัน กระเทียม กระชายดำ จะเร่งให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ศึกษาวิจัยสมุนไพร ซึ่งมีจำนวนมาก เพื่อส่งเสริมให้ใช้และผลิตเพื่อการส่งออกไปต่างประเทศด้วย ล่าสุด กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ให้ทุนศึกษาวิจัยสมุนไพร 2 ชนิดร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ สารสกัดเปลือกมังคุด เพื่อใช้บำรุงสมองในผู้ป่วยสมองเสื่อมจากอัลไซเมอร์ และปัญจขันธ์ ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งจากการวิจัยในขั้นตอนหลอดทดลอง พบว่า ได้ผล ขั้นตอนต่อไปจะศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลอง และในคน หากประสบผลสำเร็จและสามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ มั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ไทยจะสามารถแข่งขันและเจาะตลาดโลกได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น