++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

เราลืมด้านศาสนาหรือว่าทุกอย่างดีครบถ้วนแล้ว?

โดย ไสว บุญมา
ไสว บุญมา

งานปูฐานการปฏิรูปประเทศดำเนินมาเป็นเวลากว่าสองเดือน นับจากวันที่คณะกรรมการสองคณะได้รับการแต่งตั้งและประธานแถลงร่วมกันว่าการ ปฏิรูปจะครอบคลุม 15 ประเด็น ในกรรมการสองคณะ มีพระภิกษุรวมอยู่หนึ่งรูป ท่านคงเป็นกรรมการในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านใดด้านหนึ่งซึ่งมิใช่ในฐานะ ปราชญ์ทางศาสนาเนื่องจากศาสนาไม่รวมอยู่ใน 15 ประเด็น การ ไม่รวมศาสนาเพื่อพิจารณาหาทางปรับเปลี่ยนคงตีความหมายได้ว่า ในสายตาของกรรมการ ความเป็นไปในด้านนี้ดีครบถ้วนอยู่แล้ว ผมเห็นว่านั่นเป็นการมองที่ผิดถนัด แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะนำศาสนาเข้ามารวมโดยเฉพาะพุทธศาสนาเนื่องจากคนไทยราว 95% เป็นชาวพุทธ

ด้านศาสนามีหลายประเด็น เช่น ความไม่กระจ่างของความหมายในพระไตรปิฎกซึ่งดูจะถกเถียงกันจนทำให้งงระหว่าง คณะสงฆ์กระแสหลักและจากสำนักใหม่ในย่านบึงกุ่มและย่านปทุมธานี และความไม่แตกฉานในหลักศาสนาประกอบกับการมีพฤติกรรมจำพวกคบสีกา ปิดประตูดูหนังโป๊กับเสพสุราและยาเสพติดของพระ เนื่องจากหน้ากระดาษมีจำกัด ผมจะพูดถึงเพียงประเด็นทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากร

ทรัพยากรมีจำกัดเป็นสัจพจน์ การใช้จึงต้องมิให้เกิดความสูญเปล่าโดยเฉพาะในบ้านเมืองเราซึ่งมีทุนรอนค่อน ข้างต่ำ ในปัจจุบัน การสร้างสิ่งต่างๆ นำไปสู่ความสูญเปล่าสูงมากเนื่องจากส่วนใหญ่มิได้ใช้เพื่อการศึกษาและ ปฏิบัติธรรมที่จะนำไปสู่ความเจริญสติอันเป็นแก่นของศาสนา โบสถ์และศาลาขนาดมหึมามีอยู่ทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้สอยเพียงครั้งคราว อาคารเหล่านั้นกลายเป็นบ้านของนกซึ่งมักเป็นพาหะนำโรคร้ายและถ่ายไว้เลอะ เทอะเป็นภาระให้พระต้องเก็บกวาด

นอกจากนั้นยังมีการสร้างซุ้มประตูวัดขนาดใหญ่และพระพุทธรูปมากมาย จากจำพวกที่เก็บไว้ในอาคารซึ่งบางแห่งมีมากจนไม่มีที่เก็บถึงจำพวกขนาดใหญ่ ให้ตากแดดตากฝน บางแห่งสร้างพระโพธิสัตว์และเทวรูปขนาดยักษ์พร้อมกับแสดงอาการไร้สติออกมา โดยคุยโอ้อวดว่าใหญ่ที่สุดในโลก หรือถ้ากราบไหว้จะได้สิ่งที่ปรารถนา

แทนที่จะพยายามแนะนำว่าแก่นของศาสนามิได้อยู่ที่สิ่งเหล่านั้น หากอยู่ที่การศึกษาให้เข้าใจในหลักธรรมแล้วนำไปปฏิบัติเพื่อเจริญสติ พระกลับส่งเสริมให้ทำ หรือเป็นผู้นำในการทำเสียเองเพราะความไม่แตกฉานในหลักของศาสนา หากติดกับดักอยู่แค่พิธีกรรมซึ่งทำสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน เนื่องจากในสมัยนี้โลกไม่มีพรมแดนเหลืออยู่ คนรุ่นใหม่รับรู้ความเป็นไปในโลกอย่างฉับพลันพร้อมกับต้องเผชิญกับภาวะที่ แตกต่างกับครั้งก่อนๆ เมื่อพระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่แตกฉานทั้งในด้านหลักศาสนาและด้านวิวัฒนาการของโลก ยังผลให้ไม่สามารถอธิบายหลักธรรมในบริบทของโลกยุคใหม่ได้ คนรุ่นหลังย่อมไม่ศรัทธาที่จะเข้าวัดเพื่อปฏิบัติธรรม

อย่างไรก็ตาม มีพระจำนวนหนึ่งซึ่งแตกฉานทั้งสองด้านเปิดสอนวิธีที่จะนำไปสู่ความเจริญสติ ในวัดที่มีความเป็นธรรมชาติสูง พระและวัดแนวนี้มักเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ จึงเป็นตัวอย่างที่พระและวัดอื่นอีกนับหมื่นควรทำตาม นั่นอาจหมายความว่าต่อไปเราต้องห้ามใช้บริเวณวัดเพื่อการค้าพร้อมกับนำความ เป็นธรรมชาติให้กลับคืนมาสู่บริเวณวัด

อนึ่ง การจะมีพระที่แตกฉานทั้งในด้านหลักศาสนาและด้านวิวัฒนาการของโลก พระที่มีความประสงค์จะบวชตลอดชีวิตต้องเรียนทั้งสองด้านอย่างจริงจัง และการแต่งตั้งสมภารจะต้องทดสอบความแตกฉานทั้งสองด้านด้วย เป้าหมายคือแต่ละวัดต้องมีปราชญ์ทางวิชาการที่มีคุณสมบัติครบถ้วนประจำอยู่

การที่วัดต่างๆ สามารถสร้างสิ่งที่กล่าวถึงได้หมายความว่าประชาชนมีทรัพย์สำหรับบริจาคจำนวน มากพอ แต่ส่วนใหญ่ไม่บริจาคให้แก่กิจการสำคัญๆ เช่น การศึกษาเนื่องจากเชื่อว่าการทำบุญต้องทำกับวัดและพระจึงจะได้ไปสวรรค์อัน เป็นการกระทำที่วางอยู่บนฐานของการค้ามากกว่าความเสียสละเพื่อประโยชน์ของ ผู้อื่นหรือของสังคมโดยความบริสุทธิ์ใจ นอกจากนั้นพระส่วนใหญ่ยังไม่สนใจที่จะมีบทบาทตามแนวการร่วมมือกันระหว่าง บ้าน วัดและโรงเรียน (บวร) เพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาสังคมอีกด้วย ความเหลื่อมล้ำตามวัดที่มีโรงเรียนอยู่ใกล้ๆ จึงมักปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด นั่นคือ วัดมีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตโอ่โถง แต่อาคารโรงเรียนกลับอยู่ในสภาพซอมซ่อ

อีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับพระโดยเฉพาะพระที่มีสมณศักดิ์ซึ่งมักมีราย ได้จำนวนมากจากงานพิธีกรรม พระส่วนใหญ่สะสมเงินไว้เนื่องจากมีปัจจัยเบื้องต้นครบถ้วนแล้ว ส่วนหนึ่งจึงเป็นเศรษฐี เนื่องจากทรัพย์สินไม่มีความจำเป็นสำหรับพระ จึงควรจะนำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมดังที่บางรูปทำเป็นตัวอย่าง เช่น การสร้างอาคารโรงพยาบาล และอาคารโรงเรียน

สิ่ง ที่พูดถึงนี้จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้พระและวัดมีบทบาทในการพัฒนาและ แก้ปัญหาสังคมจนเกิดความเหมาะสมกับสภาพของโลกปัจจุบัน ส่วนจะทำอย่างไรนั้นขอฝากให้เป็นภาระของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น