โดย สำราญ รอดเพชร 14 กันยายน 2553 17:16 น.
บอกตรงๆ แม้จะรู้สึก “โดน” กับคำสัมภาษณ์ของคุณบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทย เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2553 ที่ผ่านมา แต่วันนี้ก็ขอร่วมถกแถลงเรื่อง “ปรองดอง” แก้ง่วงด้วยคน...
อ้อ! ท่าน “เติ้ง เสี่ยวหาร” ท่านบอกว่าชาตินี้คงปรองดองกันไม่ได้หรอก ถ้าแต่ละฝ่ายไม่ยอมถอย ถ้าจะปรองดองกันจริงต้องเอาแผนปรองดองของ “เนลสัน แมนเดลา” มาอ่าน...
ไปถึงระดับ “เนลสัน แมนเดลา” อย่างงี้จะไม่โดนได้ยังไง บังเอิญว่าผมก็อ่านเรื่องราวของเนลสัน แมนเดลา อยู่บ้างก็พอจะซึมซาบในความยิ่งใหญ่ของชีวิตการต่อสู้และความเสียสละของท่าน ทั้งก่อนติดคุก 27 ปีและหลังได้รับอิสรภาพเมื่อปี 2533 จนได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสร้างความเสมอภาคภราดรภาพให้ชาวแอฟริกา ใต้ด้วยความรัก ความเมตตา ไม่อาฆาตพยาบาท...
ไม่ผิดหรอกหากสังคมไทยจะได้ถอดรหัสถอดบทเรียนที่ดีของเนลสัน แมนเดลา มาปรับใช้ แต่ก่อนอื่นเราต้องตั้งหลักตั้งต้นกันให้ได้เสียก่อนว่า กรณีของประเทศไทยในวันนี้อะไรคือต้นเหตุของปัญหา สภาพและปัญหาเป็นอย่างไร โจทย์ที่จะต้องตอบหรือแก้ไขคืออะไร ...แน่นอนมันไม่เหมือนแอฟริกาใต้ ดังนั้น หากจะนำกรณีท่านเนลสัน แมนเดลา มาใช้ ก็ได้เพียงปรัชญาวิธีคิดวิธีการเพียงบางส่วนเท่านั้น...
ก่อนที่คุณเนวิน ชิดชอบ, คุณจาตุรนต์ ฉายแสง และอ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ จะไปบรรยายเรื่อง “พรรคการเมืองไทย” ให้พวกผมในฐานะนักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่นที่ 2 ของ กกต.เมื่อ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นเมื่อ 3 ก.ย.นักศึกษาก็ได้ร่วมกันถกแถลงเรื่องความขัดแย้งในสังคมไทยขณะนี้..
ผมทดลองเสนอแนวความคิดการปรับประยุกต์คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ว่าด้วยการต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในเชิงตั้งคำถามนำว่าน่าจะเป็นไปได้ หากเรามีผู้นำที่กล้าคิด กล้านำ กล้าหาญที่จะทำเรื่องใหญ่ๆ เพราะส่วนตัวผมเห็นว่าแผนปรองดอง 5 ข้อของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ได้ “ยุติการเมืองที่ล้มเหลว” และ “ยุติความขัดแย้งแตกแยก” ใน สังคมไทย...ปฏิบัติการต่างๆ ภายใต้แผนปรองดอง 5 ข้ออาจจะเป็นแผนการมุ่งหวังผลสำเร็จในการต่อยอดเมื่อประชาธิปัตย์ (อภิสิทธิ์) เป็นรัฐบาลรอบหน้ามากกว่า...
นโยบาย 66/2523 สามารถยุติสงครามประชาชนที่คนไทยฆ่ากันได้ระดับหนึ่งก็เพราะเข้าใจถึงสาเหตุ ที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เติบใหญ่ ปรับวิธีการเอาชนะจาก “การทหารนำการเมือง” มาเป็น “การเมืองนำการทหาร” และเปิดโอกาสให้นักศึกษาประชาชนที่ไปร่วมกับ พคท.ตั้งแต่อดีตจนถึงปี 2521 มารายงานตัว กลับมาทำมาหากิน ร่วมพัฒนาชาติไทย...
แม้สถานการณ์ทางสากลในขณะนั้นจะเป็นตัวแปรสำคัญทำให้ พคท.อ่อนยวบลงจนเกิดสภาวะ “ป่าแตก” แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากไม่มีนโยบายที่ถูกต้องอย่าง 66/2523 ที่กองทัพไทยและรัฐบาลพลเอกเปรมในขณะนั้นนำมาใช้ สถานการณ์ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะยุติสงครามได้ และไม่แน่ว่าจะมีวันหนึ่งเมื่อปี 2524 ให้ผมกับเพื่อนได้นั่งหลั่งน้ำตาฟังเพลง “คืนรัง” จากน้าหงา คาราวาน หรือไม่..??
ครับ ว่าเสียยาว...สรุปว่าผมทดลองเสนอแนวคิด “66/2523 โมเดล” ว่าจะสามารถปรับใช้กับสังคมไทยในขณะนี้ได้หรือไม่ ก็ปรากฏว่ามีอยู่ 2-3ท่านเห็นว่าโดยหลักการหลักคิดน่าจะเป็นไปได้ แต่นอกเวทีมีหลายท่านมาบอกผมว่ายากที่จะเป็นไปได้ เพราะสังคมไทยขณะนี้มันสลับซับซ้อน ขัดแย้งกันหลายชั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยมีผู้นำที่มีบารมี มีผู้นำพิเศษจริงๆ หลายสิ่งหลายอย่างอาจเริ่มต้นกันใหม่ได้ด้วยคำว่า “อภัย” แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกี่ยวกับหัวโจกที่เผาบ้านเผาเมืองและอดีตนายกฯ ที่ศาลตัดสินจำคุกไปแล้ว...
................................
ถึงนาทีนี้ วันนี้ (15 ก.ย. 2553) ดูเหมือนคำว่า “ปรองดอง” จะ เละเป็นโจ๊กกองปราบไปแล้ว แผนปรองดองถูกเสนอมาจากหลายทิศทาง ไปไกลถึงขนาดมีทูตหลายชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ไปไกลถึงกับพูดกันเล่นๆ ว่าเป็น “ฉันทานุมัติวอชิงตัน”..กันโน่น ฯลฯ..
ทั้งๆ ที่ในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่ทำท่าทางลึกลับซับซ้อน จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรในกอไผ่มากไปกว่ารอการกดปุ่มทุกอย่างจากคนชื่อ “ทักษิณ” ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่เล่นด้วยหากพรรคเพื่อไทยยื่นมือปรองดองแบบ แม้วๆ มาให้จับ...
ผมว่าที่น่าจับตามองจริงๆ คือ พรรคภูมิใจไทย ของเนวิน ชิดชอบ ผู้หาญกล้าไปประกาศในการบรรยายที่ กกต.ว่า สถานการณ์วันนี้ (ทุก) พรรคการเมืองต้องมีบทบาทหลัก 2 ประการคือ 1) ปกป้องสถาบันสูงสุดอย่างเป็นรูปธรรม 2) นำประชาชนเข้าสู่การปรองดอง ช่วยกันถอนฟืนจากเตาไฟ “เซ็ตซีโร่” ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้บริสุทธิ์ทุกสีเสื้อ “ส่วนแกนนำตัวหลักก็แล้วแต่เวรกรรม”...
เข้าใจว่าพรรคภูมิใจไทยคงจะไปออกแรงอีกรอบผลักดันกฎหมายปรองดองของ ตัวเองที่ค้างสภาอยู่ เนื้อหาของกฎหมายฉบับนี้จะนิรโทษกรรมให้ผู้ชุมนุมตั้งแต่เดือนพ.ค.-ธ.ค.2551 และคนชุมนุมก่อเหตุในเดือนก.พ.-เม.ย.2552 แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่เล่นด้วย แหละนี่อาจเป็นปมความขัดแย้งของรัฐบาลในอนาคตอันใกล้ปมหนึ่ง...
ผมก็ได้แต่อยากบอกคุณเนวิน ชิดชอบ นายกฯ อภิสิทธิ์ ว่า เรื่องนิรโทษกรรมหรือเรื่องปรองดองใดๆ ถ้ายังไม่ตกผลึกเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ ก็ควรจะได้พูดจาหารือกันให้เป็นเรื่องเป็นราว หาฉันทามติในพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้เสียก่อน จากนั้นจะขับเคลื่อนเรื่องใหญ่ๆ ต้องเป็นเอกภาพหนึ่งเดียว ออกลูกแข็งแรง ไม่ใช่แย่งซีนแย่งกันสร้างภาพอย่างทุกวันนี้..
ส่วนตัวผมจริงๆ ตอนนี้บอกตรงๆ ว่า มองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ว่าจะสมานฉันท์ปรองดองกันด้วยกระบวนท่า ไหนอย่างไร...นอกจากจะขอย้ำเตือนว่าการปรองดองต้องเพื่อประโยชน์ของคนในวง กว้างต้องไม่ใช่เพื่อกลุ่มนักการเมืองหรือขั้วการเมือง....และสุดท้ายขอให้ ทุกฝ่ายยึดหลักกฎหมายก็แล้วกัน เพียงแต่อยากฝากคำกล่าวของ ดร.อักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด ให้คิดสักหน่อย...ท่านบอกว่า
“บางทีเวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นแล้วมีคนพูดถึงหลักนิติรัฐอย่าง นั้นอย่างนี้ ความจริงมันอาจไม่ต้องใช้คำโตขนาดนั้น ความจริงเพียงแต่คุณไม่ enforce กฎหมาย คือต้องทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ถ้าทุกอย่างเดินตามเกณฑ์กฎหมาย ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมายสังคมต้องดีแน่นอน ทีนี้พอเราไปเอาคำโตมันก็คล้ายเราขี่ช้างจับตั๊กแตน มันมองภาพเบลอไป ฉะนั้นทุกอย่างถ้ามันเริ่มต้นที่อันนั้นไม่ถูก ก็ทำให้มันถูก มันก็จะไม่เกิดปัญหาอย่างอื่นที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเกิดขึ้น มันก็จะหมักหมม พอจะแก้ตอนนี้มันยากแล้ว ณ วันนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาตรงไหนดีจะเริ่มตรงไหนดี..”
กฎหมายเป็นกฎหมาย บ้านเมืองไปรอด...!! ยิ่งถ้ากฎเหล็กเป็นกฎเหล็กด้วยล่ะก็ยิ่งฉลุย แต่วันนี้รู้สึกเหล็กมีสนิมจับเขรอะแล้วนะ...
samr_rod@hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น