++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

อาทิตย์อัสดง...ที่นอร์ธเคป


ดวงอาทิตย์ตกตอนหกโมงเย็น ที่ไหนๆ ก็หาดูได้ แต่อาทิตย์ตกตอนเที่ยงคืนนี่ซี หาดูยากจริงๆ เพราะจะต้องเดินทางไปเกือบจะถึงขั้วโลกเหนือ เลยเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลขึ้นไป จึงจะเห็นได้ในฤดูร้อนประมาณห้าเดือน


บริเวณสุดท้ายบนแผ่นดินที่จะเห็นอาทิตย์ตกตอนเที่ยงคืนอยู่ที่ นอร์ธเคป ประเทศนอร์เวย์ ที่ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เคยเสด็จฯไปถึงที่นี่ และ ทรงจารึกพระ ปรมาภิไธย จปร เอาไว้เป็นประจักษ์พยานจนถึงทุกวันนี้


บริษัททัวร์แทบทุกแห่ง จะมีโปรแกรม ไปดูพระอาทิตย์เที่ยงคืนด้วยกันทั้งนั้น แต่นักท่องเที่ยวที่เสียเงินแพงๆ จะเห็นพระอาทิตย์ตกสมปรารถนามีน้อยครั้งเต็มที พอไปถึงที่หมายกลับมีเมฆหมอกมาบดบัง แถมบางครั้งมีฝนตกลมแรง หนาวเฉียบเข้าไปอีก ผิดหวังไปตามๆ กัน


บางทัวร์โชคดี ท้องฟ้าเปิดแดดส่องสว่างจ้าตลอดวัน พอถึงเที่ยงคืนก็เห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมา ลับผิวน้ำอย่างชัดเจน ชั่วอึดใจเดียวก็โผล่ขึ้นมาใหม่ และลอยขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเก้าโมงเช้าตามเดิม แต่จะโชคดีอย่างนี้ไม่กี่หน บางคนยอมเสียเงินเดินทางไปดูถึง สามสี่หนถึงได้เห็นเจิดจ้าสมปรารถนา


ตัวผมเองก็เหมือนกันไปดูอาทิตย์เที่ยงคืนมาแล้วห้าครั้ง เห็นชัดเจนเพียงสองครั้งเท่านั้น โดยไปดูที่ เมืองคีรูนา ประเทศสวีเดน ไปกันสามคนมี กัปตัน พร้อม ณ ถลาง กัปตันโอลเน่ สายการบิน SAS และตัวผมเอง เป็นเวลาร่วม 40 ปีมาแล้ว อีกครั้งหนึ่งก็เร็วๆ นี้ กลางเดือนกรกฎาคมนี่เอง ไปคราวแรกยังหนุ่มแล้วก็ปักหลักอยู่สตอกโฮล์ม บินไปคีรูนาแค่สองชั่วโมงก็ได้ดูสมปรารถนา


แต่คราวนี้ต้องออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ขึ้นเครื่องบินถึงสามทอด นั่งรถโค้ชต่ออีกครึ่งวัน รวมเวลาที่ใช้เดินทางจนถึงนอร์ธเคปถึง 25 ชั่วโมง สังขารของคนหนุ่มเหลือน้อยอย่างตัวผม ก็ต้องกลายเป็นผีดิบไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่อาศัยที่เคยเดินทางอย่างนี้มาก่อน จึงกลายเป็นมนุษย์ได้ในเวลาไม่ช้านัก


ผมขอเล่าการเดินทางครั้งนี้ให้ฟัง ซึ่งคงจะไม่ละเอียดนัก แบบหนังตัวอย่าง แต่จะฉายให้ดูทางโทรทัศน์เหมือนกับท่าน ได้ไปด้วยกันในเดือนกันยายนนี่แหละ


ขอรวบรัดตัดมาถึง เมืองอัลตา ซึ่ง เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีสนามบินขนาดรับเครื่องบินในประเทศที่ไม่ใหญ่นัก มองดูหน้าตาสนามบินนี้ แล้วเผลอว่าเรามาลงที่แม่ฮ่องสอน หรือเปล่าวะ เพราะมันเหมือนจริงๆ ถ้าไม่เห็นฝรั่งเดินกันขวักไขว่ เป็นต้องนึกว่าบ้านเราแน่ๆ


จากสนามบินอัลตา ขึ้นรถโค้ชขนาด 48 ที่นั่ง เดินทางต่อ คณะของเรามีแค่ 18 คน จึงมีที่ว่างให้นั่ง นอนไปได้ตลอดทาง


เมืองอัลตา เป็นเมืองหน้าด่าน ของการเดินทาง ไปนอร์ธเคปโดยทางรถยนต์ ดินแดนแถบนี้เป็นแผ่นดินเหนือสุด มืด 6 เดือน สว่าง 6 เดือน แต่ไม่มืดและสว่าง เหมือนปิดเปิดสวิตช์ไฟ ความสว่างและความมืดค่อยๆ กลืนกันทีละน้อย จากสว่างก็ค่อยๆ มืดวันละ เล็กละน้อยจนมืดสนิท 24 ชั่วโมง แต่ในฤดูร้อน ตอนนี้สว่างอยู่ 24 ชั่วโมง จะกินจะนอนต้องอาศัยนาฬิกา จะนอนก็ปิดม่านให้มืด เป็นกลางคืนถึงจะนอนได้ ไม่ยังงั้นก็จะต้องเป็นนกฮูกไปตลอด


ถนนที่ออกจากตัวเมืองเป็นถนนแคบๆ สองช่องทาง ด้านหนึ่งเป็นเขาสูงมีหน้าผาชัน ถนนต้องตัดเซาะเข้าไปในภูเขา บางตอนมีเขาขวางทางอยู่ก็ต้อง ขุดอุโมงค์ลอดไป เขาสูงแถบนี้จะยืนแช่น้ำอยู่เกือบตลอดทาง มีที่ว่างเป็นตลิ่งก็ไม่กี่แห่ง


ภูเขาแช่น้ำนี่คือ ฟยอร์ด เอกลักษณ์ของนอร์เวย์ บางแห่งมีฟยอร์ดยาวถึง 200 กิโลเมตร แต่ไม่ได้อยู่แถบนี้ การจะไปชมนั้นต้องล่องเรือชมในเส้นทางชื่อเรียกยาก ขออนุญาตลากเข้าสำเนียงไทยว่า ซอน ก็แล้วกัน (SOGNEFJORD) ฟยอร์ดที่ว่านี้ลัดเลาะไปตามซอกเขาสูงชัน มีน้ำลึกที่สุดในโลก


ตามถนนที่เราเดินทางไปนั้น ตอนออกจากเมืองก็มีป่าไม้สนเขียวชอุ่ม พอพ้นจากป่าสีเขียวก็ผ่านไป ตามถนนเลียบภูเขา ด้านขวามือเป็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ที่เชิงเขาข้างทางบางตอน มีที่ราบลึกเข้าไป มีหญ้าขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป ดูแห้งแล้งเต็มที แต่บริเวณเหล่านี้มี กวางเขากิ่ง หรือ กวางมูส อาศัยอยู่เป็นฝูง บางตอนรถของเราต้องค่อยๆ ขับหลีกกวางมูส ที่ขึ้นมาเที่ยวบนถนนโดย ไม่แยแสกับอะไรทั้งนั้น พวกเราเลยต้องเรียกกวางเหล่านี้ว่า อธิบดีกรมทาง


เราใช้เวลาถึงครึ่งวัน ต่อระยะทาง 250 กิโลเมตร ลอดอุโมงค์สั้นบ้าง ยาวบ้าง หลายสิบอุโมงค์ จนถึงอุโมงค์ลอดใต้ทะเล ยาว 6.8 กิโลเมตร ไปขึ้น หมู่บ้านเล็กๆ เหนือสุดในนอร์ธเคป ชื่อฮอนนิ่งสวัก มีโรงแรมเล็กๆ สร้างเป็นคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ เรียงกันเป็นแถวมีห้องพักหลายร้อยห้อง เป็นที่พักแห่งเดียวเท่านั้น ที่นักท่องเที่ยวที่จะไปนอร์ธเคปต้องพักกินอยู่หลับนอนที่นี่


คณะของเราเมื่อรอนแรมมาถึง เข้าที่พักล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็มากินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร่วมกับนักท่องเที่ยวนานาชาติ ต่างคนต่างดูนาฬิกาว่ามันเป็นอะไรกันแน่ จะว่าสองทุ่มมันก็สว่าง เหมือนกับบ่ายสามโมง อย่ากระนั้นเลย อิ่มหนำสำราญแล้วก็เตรียมตัว หาเครื่องกันหนาวมาสวมใส่ เพราะอากาศเริ่มเย็นลงทุกที


อุณหภูมิลดลงเหลือ 9 องศาเซลเซียส ลมแรงจนยืนแทบไม่อยู่ แต่ท้องฟ้ามีแดดจ้า ทำให้ทุกคน มีความหวังว่าจะได้เห็น พระอาทิตย์ เที่ยงคืนที่ปราศจากเมฆ หมอกมาบดบัง สมดังคำอธิษฐานของเรา ที่ขอพระบารมีของ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงดลบันดาลให้ ท้องฟ้าแจ่มใส จะได้ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน อย่างงดงาม สมกับที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปชม


สิ่งมหัศจรรย์ที่นอร์ธเคปเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว เรานั่งรถฝ่าเปลวแดดตอนสี่ทุ่มไปอีก 20 กิโลเมตร ก็ขึ้นไปถึงนอร์ธเคป ซึ่งเป็นหน้าผาที่เป็นจุดสูงสุดของยุโรป จากหน้าผามองลงไปเป็นเหวลึก 307 เมตร สู่ทะเลอาร์กติกขั้วโลกเหนือ เราจะเฝ้าชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนจากจุดนี้ก็ได้


แต่อากาศช่างหนาวเหน็บเจ็บถึงกระดูก จึงต้องเข้าไปใน อาคารพิพิธภัณฑ์ที่สร้างคลุมก้อนหินสลัก จปร. ไปถวายบังคม พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 แล้วไปชมหุ่นจำลอง วันที่เสด็จฯ ขึ้นนอร์ธเคป พร้อมด้วยข้าราชบริพาร กำลังสลักพระปรมาภิไธย จปร. อยู่


ถ้ายังชมไม่จุใจก็มี ห้องฉายภาพให้ดูเรื่องราว พิพิธภัณฑ์ไทย-นอร์เวย์ แห่งนี้มีนักท่องเที่ยวเข้าคิวเป็นแถวยาว กว่าจะได้ดูก็คงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว


มีลานกว้างริมหน้าผาหน้า อาคารพิพิธภัณฑ์ มองเห็นดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำ ลงมาทุกขณะได้อย่างชัดเจน เรามาชุมนุมกันตรงนี้ พร้อมกับนักท่องเที่ยวที่ไม่กลัวหนาว ส่วนคนที่ทนหนาวไม่ได้ก็เข้าไปนั่งรอ อยู่ในห้องโถงใหญ่ ฝาผนังเป็นกระจกมองออกไปข้างนอก ได้อย่างชัดเจน แต่มีคนบังทำให้ พลาดโอกาสที่จะเห็นดวงอาทิตย์ ลงแตะผิวน้ำ


5 ทุ่ม 45 นาที เริ่มนับถอยหลัง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ จนเที่ยงคืนก็ลงลับผิวน้ำ ชั่วอึดใจเดียว ก็โผล่ขึ้นมาใหม่ แต่แสงจ้าเหลือประ มาณทำให้ไม่เห็นขอบดวงอาทิตย์ชัดเหมือนอาทิตย์ตกบ้านเรา ดังนั้น ขอเชิญดูการโคจรของดวงอาทิตย์ในรูปจะชัดเจน กว่ามาก


พระอาทิตย์เที่ยงคืน ยอดปรารถนาของ ทุกคนที่จะได้เห็นชัดเจน แต่ถ้าโชคไม่ดีก็คงผิดหวัง


บัดนี้ คณะของเรามีโชคดี ได้เห็นสมปรารถนาแล้วครับ.


ต่วย\'ตูน
และ ไอแสค อาศิระ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น