++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สุขง่าย ทุกข์ยาก โดย พระไพศาล วิสาโล

สุขง่าย ทุกข์ยาก
โดย พระไพศาล วิสาโล

ธรรมชาติคนเราเวลามีความเจ็บปวดก็จะพยายามผลัก พยายามปฏิเสธ พยายามดิ้น สังเกตนะเวลากายร้อน เวลากายเหนื่อย เวลากายปวด กายจะผลักไสความเจ็บปวดออกไป แต่มันไม่ยอมไป สิ่งใดที่ไม่ยอมไปไปเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ คนเราต้องอยู่กับความผิดหวัง ความไม่สมหวัง อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความเจ็บปวดให้ได้ วันนี้อาจจะไม่เจอแต่พรุ่งนี้อาจจะเจอ อย่างน้อยต้องมีสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องเจอ ถ้าไม่เจอตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เจอตอนแก่
หลายคนรักษาตัวให้มีสุขภาพดีมาตลอดแต่สุดท้ายเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันปวดมาก ยามักเอาไม่อยู่ แม้จะไปฉีดยา ไปทำเคมีบำบัด หรือฉายแสงก็ยังปวด หลายคนตายไปด้วยความทุกข์ทรมานเพราะความปวด ไม่ว่ารวยแค่ไหนเป็นเศรษฐีพันล้านหรือร้อยล้าน เงินทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวงที่มีไม่ได้ช่วยเราเลย แต่สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือใจ ใจที่ไม่ใช่อดทนเท่านั้นนะ แต่ใจต้องมีสติด้วย ใจที่มีสติจะทำให้เราอยู่กับความเจ็บปวดได้ ทำอย่างไรเราถึงจะอยู่กับความเจ็บปวดได้อย่างสงบ สันติ ต่างตนต่างอยู่ ความเจ็บปวดก็อยู่ไปแต่ใจไม่ทุกข์ ให้มันรบกวนแต่ร่างกาย ส่วนใจเราสงบเป็นปกติ นี่คืออานิสงส์ของการฝึกจิต เราไม่ได้เดินกลางแดด เดินเท้าเปล่า เพื่อฝึกความอดทนเท่านั้น แต่ฝึกเพื่อให้ใจเป็นอิสระจากความทุกข์ทางกายได้ แล้วใจก็จะเบา
มีบางคนเป็นมะเร็งลำไส้แล้วปวดมากจนยาก็เอาไม่อยู่ แต่ว่าพอตั้งสติได้ เขาเล่าว่า สติดึงจิตมาอยู่ที่หัวไหล่แล้วมาดูกาย กายปวดแต่ใจไม่ปวดเลย สงบมาก แต่พอเผลอสติใจก็ไปรวมเข้ากับกาย จะรู้สึกปวดสุดๆ เลย ต้องตั้งสติใหม่ดึงจิตออกมาดูกาย ความปวดยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่ใจไม่เป็นทุกข์แล้ว
เราอยากทำได้แบบนี้ไหม ถ้าอยากทำได้แบบนี้ก็ต้องฝึก แล้วจะฝึกอย่างไรก็ต้องฝึกจากชีวิต จากประสบการณ์จริงๆ การฝึกมันทำได้หลายแบบ การมาเดินให้แดดเผา เดินให้กรวดทิ่มแทงเท้า ก็เป็นการฝึกอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องฝึกแบบนี้ก็ได้ แต่ว่าควรจะฝึก ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว แทนที่จะเดินด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ ก็ควรเดินด้วยใจที่ทุกข์น้อยที่สุด
แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องฝึก อาตมาถึงได้แนะว่า เวลาเดินให้เดินอย่างมีสติ พยายามพูดคุยกันให้น้อย การพูดการคุยมันช่วยให้เจ็บน้อยลงก็จริง แต่ช่วยได้ไม่มาก คุยกันนานๆ ก็เหนื่อย แถมยังสร้างความทุกข์ให้คนข้างๆ บางคนอุตส่าห์มาเดินถึงนี่ ก็ยังมาเดินคุยกัน มันได้แค่ความอดทนแต่อย่างอื่นไม่ได้เลย นับว่าเสียดายโอกาสเพราะว่าเราไม่ได้ถูกบังคับให้มาเดิน เมื่อมาเดินทั้งทีก็ควรใช้โอกาสนี้ฝึกใจของเราให้มีสติ ถ้าใจเรามีสติแล้วก็จะได้ประโยชน์คุ้มค่า แต่ถ้าเดินแล้วคุยกันเรื่องหนัง เรื่องการเมือง มันได้ประโยชน์น้อย แถมยังไปรบกวนคนอื่นที่ต้องการความสงบด้วย แต่ถ้าเดินอย่างมีสติจริงๆ แม้คนรอบข้างจะคุยกัน เราก็ใจสงบได้ อย่างที่พูดเมื่อวานว่า ใจก็สงบได้แม้ว่าคนจะคุยกันเพราะเราไม่เอาเสียงเหล่านี้มาเป็นเครื่องกวนอารมณ์
ถ้าเราเดินไปได้เรื่อยๆ แม้บางคนอาจจะยังฝึกไม่ถึงขั้นที่อาตมาว่า แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราคือ ทำให้เราเป็นคนสุขง่ายและทุกข์ยาก คนเดี๋ยวนี้มักจะสุขยากแต่ทุกข์ง่าย ทั้งๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ที่บ้านมีโทรทัศน์ มีโทรศัพท์มือถือ มีพัดลม มีแอร์ มีอาหารอร่อยๆ กิน แต่ว่าทุกข์ อยู่ที่บ้านไม่ได้ รู้สึกกระสับกระส่าย ต้องออกไปเที่ยวห้าง บางคนอยู่ว่างๆ ไม่เป็น ต้องโทรศัพท์หาเพื่อนคุยเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง อาการอยู่เฉยไม่ได้นี้เป็นสิ่งบ่งบอกถึงความทุกข์ใจ คนเราถ้ามีความสุขจะนิ่งได้ ถ้าอยู่เฉยไม่ได้แสดงว่าทุกข์ เสาร์อาทิตย์ก็อยู่นิ่งๆ ไม่เป็น ต้องไปเที่ยวห้าง ต้องไปทำโน่นทำนี่ อันนี้เขาเรียกว่าทุกข์ง่าย สุขยาก
แต่เมื่อมาที่นี่ หลายคนบอกว่ามีความสุขง่ายขึ้น เวลาเดินแค่มีลมพัดมาเบาๆ หรือได้พักใต้เงาไม้ก็มีความสุขแล้ว กำลังเหนื่อยๆ ได้กินน้ำ น้ำเปล่า ๆ ไม่ต้องแช่น้ำแข็ง ไม่ต้องเป็นน้ำอัดลมก็มีความสุขแล้ว ถ้าเป็นแต่ก่อนต้องกินน้ำอัดลม ต้องกินไอศกรีมฮาเก้นดาส แต่ว่าที่นี่เพียงแค่ได้กินน้ำเปล่าดับกระหายก็มีความสุขแล้ว ความสุขหาได้ง่ายเพราะไม่ต้องใช้เงินเลย ได้กินน้ำฝน น้ำประปา ไม่ต้องใส่น้ำแข็ง ได้นอนกลางดินก็หลับได้ ไม่จำเป็นต้องนอนบนเตียงในห้องที่หรูหรา หลายๆ คนได้นอนบนเตียงราคาแพงในห้องที่หรูหราก็ยังไม่หลับ แต่มาที่นี่นอนในเต๊นท์กลับหลับได้สบาย ความสุขนั้นหาได้ง่ายมาก สังเกตหรือเปล่าว่า เราไม่มีโทรศัพท์มือถือ เราไม่ได้ดูโทรทัศน์ คืนนี้เป็นคืนที่ ๔ ก็ยังอยู่ได้ ไม่ตาย ไม่มีวีดีโอเกมส์ให้เล่น ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้แชทก็ยังอยู่ได้ ขณะที่อยู่ในเมืองถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ท ไม่มีโทรศัพท์มือถือจะตายให้ได้ เคยมีการสอบถามคนในเมือง โดยเฉพาะวัยรุ่นว่าอะไรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต มากกว่าครึ่งตอบว่าโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้ว่ารวมถึงพวกเราด้วยหรือเปล่า แต่เห็นไหมว่าถึงแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เราก็ยังอยู่ได้และอยู่ได้สบายด้วย
ลองไตร่ตรองดูว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ชีวิตต้องการจริงๆ หรือเปล่า หลายคนบอกว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่มาอยู่ที่นี่จะรู้เลยว่า ถึงไม่มีมันเราก็อยู่ได้ อยู่ที่นี่ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่ได้พักใต้ร่มไม้ก็มีความสุขแล้ว มีข้าวกิน แม้ข้าวไม่อร่อย ก็ยังมีความสุขได้ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุ ๑๓ ปี เขาอยากเป็นนักแสดง ก็เลยไปสมัครเข้าค่ายละคร พอไปเห็นค่ายก็รู้สึกผิดหวังมาก เพราะมันอยู่กลางทุ่งเป็นค่ายเหมือนที่เรากางเต็นท์แบบนี้ ที่แย่กว่านั้นคือไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ก็ไม่มีให้ดู รู้สึกผิดหวังมากเพราะฝันไว้อีกแบบหนึ่ง แต่พอเข้าค่ายละครได้สี่ห้าวัน ได้แสดงละครได้เข้ากลุ่มพูดคุยกันในเรื่องการกำกับละคร การเขียนบท เธอก็ลืมความทุกข์ไปเลย ถึงวันสุดท้ายเธอบอกว่ามีความสุขมาก แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าวันแรกเธอมีความทุกข์มากเพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ความสะดวกก็ไม่มี ห้องน้ำก็ลำบาก แต่ทำไมพอถึงวันที่ ๕ กลับมีความสุข ทำไมถึงมีความสุข ก็เพราะได้ทำสิ่งที่ชอบ เธอเห็นเลยว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีสิ่งของสิ่งอำนวยความสะดวก ความสุขมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่การทำสิ่งดีๆ ที่มีค่าที่น่าภาคภูมิใจ คนเราถ้าเห็นความจริงอย่างนี้จะเป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก
ทุกข์ยากหมายความว่าเป็นคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ อยู่ที่นี่ถ้ากินกล้วยใบหนึ่งแล้วรู้สึกอร่อย กินข้าวกับน้ำพริกก็อร่อย อันนี้เรียกว่าสุขง่าย ถ้าสุขง่ายแบบนี้ความทุกข์จะเกิดขึ้นได้ยาก เราอยากจะเป็นไหมคนสุขง่าย ทุกข์ยาก หลายคนบอกว่ามาลำบากทำไม ประการแรกก็เพื่อให้เรารู้ว่าคนเราสามารถมีความสุขโดยไม่มีสิ่งมาอำนวยความสะดวกก็ได้ ของแบบนี้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติเองก็ไม่รู้ คิดเอาเองก็ไม่รู้นะ ประการที่สอง ก็เพื่อให้เราหันมาชื่นชมสิ่งที่เรามีอยู่ที่บ้าน หลายคนตอนอยู่บ้านมักมีเรื่องบ่นอยู่เรื่อย อาหารทานไม่อร่อย ที่นอนก็ไม่ค่อยดี ห้องนอนเล็ก ห้องน้ำไม่หรู แต่มาพออยู่อย่างนี้หลายคนจะคิดถึงบ้านและได้รู้ว่าบ้านนั้นคือสวรรค์ ถ้าไม่มาลำบากอย่างนี้ก็ไม่รู้นะว่าสิ่งที่เราเคยมี หรือกำลังมีอยู่นั้นมีค่ามากเพียงใด
คนเราถ้าไม่เคยพลัดพรากจากสิ่งที่เคยมีจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น คนที่มีมือมีเท้าจะไม่รู้สึกเลยว่ามือเท้านั้นสำคัญเพียงใด จนกว่ามือหรือเท้าจะมีอันเป็นไป เช่น พิการหรือยกแขนไม่ขึ้น เคยเป็นไหมยกแขนไม่ขึ้น แล้วจะรู้เลยว่าการมีมือปกติที่เคลื่อนไหวไปมาปกตินั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่มีค่ามาก แต่ก่อนเราไม่รู้สึกเลยว่ารองเท้าธรรมดานั้นมีค่าเพียงใด เราอยากได้รองเท้าสวยๆ ราคาแพงๆ ได้อย่างไร ยี่ห้อธรรมดาไม่เอาจะเอายี่ห้อที่แพงกว่านั้น แต่มาอยู่ที่นี่เพียงคุณมีรองเท้าแตะคู่หนึ่งคุณก็มีความสุขแล้ว ไม่เชื่อก็ลองถอดรองเท้าดู รองเท้าแตะราคา ๑๐ บาท ๑๕ บาทก็ทำให้มีความสุขได้
คนเราถ้าไม่ขาด ไม่สูญเสีย หรือไม่พลัดพรากห่างไกลจากสิ่งที่เคยมีเราจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือบุคคล คนที่มีพ่อแม่จะค่อยไม่รู้สึกเลยว่าการที่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือพ่อแม่ยังอยู่กับเรานั้นมีความหมายเพียงใด พอไกลจากท่านหรือท่านเสียชีวิตไปจึงค่อยได้คิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกนะว่าเป็นช่วงที่มีความสุขเพราะใจอยากได้อย่างอื่นที่ไม่เคยมี คนเรามักจะแสวงหาสิ่งที่ไม่มี เราคิดว่าถ้าเราได้มันมาเราจะมีความสุข แต่เราลืมมองไปว่าสิ่งที่เรามีอยู่กับตัวตอนนี้ให้ความสุขกับเราแล้ว ไม่ต้องแสวงหาความสุขจากที่ไหนอีก
การที่เรามาลำบากอย่างนี้ อย่างน้อยๆ มันทำให้เราได้เห็นว่าบ้านเอย หอพักเอย เป็นที่ ๆ ให้ความสุขแก่เรา ไม่ต้องดิ้นรนเรียกร้องแสวงหาอะไรมากกว่านี้ก็ได้ เป็นเพราะเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี เราถึงอยากได้โน่นอยากได้นี่ มีโทรศัพท์มือถือแล้ว ก็ไม่พอใจอยากได้รุ่นใหม่ อยากได้รุ่นที่มีลูกเล่นมากกว่านี้ แต่พอโทรศัพท์หายถึงค่อยรู้ว่ามันมีค่า เราอย่ามาคอยให้มันหายหรือสูญเสียมันไปก่อนแล้วค่อยเห็นคุณค่า ต้องรู้จักชื่นชมมันเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่มันยังอยู่กับเรา
ที่มา สารโกมล มีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น