++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

“เพียงใจเราไม่ท้อ..ชีวิตก็เดินต่อได้”

“เพียงใจเราไม่ท้อ..ชีวิตก็เดินต่อได้”
แม้ฟ้าให้กายเรามาไม่พร้อม..
แต่ถ้าใจเราพร้อม..โชคชะตาก็ยอมแพ้เรา
...........................................................
นี้เป็นเรื่องราวของสาวน้อยจากประเทศจีน ที่ชื่อ “เฉียนหงเยี่ยน”
ที่อุบัติเหตุทางรถยนต์ได้พรากขาทั้ง 2 ข้างของเธอไป พร้อมๆ กับ..
เปลี่ยนสถานะให้เด็กหญิงกลายเป็น “คนพิการ” ตั้งแต่วัยเพียง 4 ขวบ
ทางออกเดียวที่จะทำให้ความสุขในชีวิตเด็กหญิงกลับคืนมาก็คือ
การมี “ขาเทียม” ดีๆ สักคู่ แต่เพราะครอบครัวของเฉียนหง
มีฐานะยากจนเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้..
เธอจึงต้อง “อดทน” กับชีวิตไร้ขาอยู่พักใหญ่
ด้วยความสงสารหลานสาว..
คุณปู่ของเด็กหญิงเฉียนหง จึงตัดสินใจนำ “ลูกบาสเกตบอลเก่าๆ”
มาตัดแบ่งครึ่ง แล้วลองสวมเข้ากับร่างกายท่อนล่าง
เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหว
ไม่เพียงเท่านั้นปู่ยังนำ “แปรงขัดพื้น” มาติดหูจับใช้ในการเดิน (ด้วยมือ)...
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนที่พบเห็นเด็กหญิงจึงมักเรียกเธอว่า..
“สาวน้อยบาสเกตบอล”
แม้โชคชะตาจะขีดเส้นให้เธอต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไป
แต่เธอก็ยังมี “ความฝัน” เหมือนเด็กคนอื่นๆ ครั้งหนึ่ง..
เมื่อเด็กหญิงมีโอกาสชมการแข่งขันกีฬาเฟสปิกเกมส์ (กีฬาคนพิการ)
กีฬาว่ายน้ำได้สร้างความประทับใจและเป็นแรงบันดาลใจ
ให้เธออย่างมาก ถึงขั้นเอ่ยปากว่า...“อยากเป็นนักว่ายน้ำ”
ในช่วงนั้นเอง “จางหงหู” โค้ชนักกีฬาว่ายน้ำคนพิการชื่อดัง
ได้ก่อตั้งสโมสรนักกีฬาว่ายน้ำคนพิการแห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรกพอดี
เด็กหญิงเฉียน จึงตัดสินใจสมัครดู โดยที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
“การไร้ขาทั้งสองข้างนั้น ถือเป็นความพิการระดับรุนแรงมาก”
ในการว่ายน้ำนั้นหากไม่มีขาก็เปรียบเสมือนเรือที่ขาดหางเสือ...
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่โค้ชตระหนักดีว่า..
“ทุกคนพัฒนาได้ ถ้าให้โอกาส” พร้อมทั้งได้สัมผัสถึง..
ความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมของเธอ..
เขาจึงตัดสินใจเลือกเฉียนหง ให้เป็นนักว่ายน้ำกลุ่มแรก
แม้เด็กหญิงต้องเริ่มฝึกแล้วฝึกอีก ทว่าเธอก็ไม่เคยจะปริปากบ่น
คงมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้าเสมอ
หลังจากฝึกซ้อมได้ไม่นาน โค้ชจางก็ตัดสินใจส่งเฉียนหง
เข้าแข่งขันว่ายน้ำเป็นคนแรกของรุ่นเมื่อปี 2009
และแล้วลูกศิษย์คนนี้ก็ไม่ทำให้โค้ชต้องผิดหวัง
เมื่อเฉียนหง สามารถคว้ามาได้ถึง 1 เหรียญทองและ 2 เหรียญเงิน...
ความสำเร็จครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความภาคภูมิใจแก่เฉียนหงเยี่ยน
และครอบครัวเท่านั้น มันยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนพิการทั่วโลก
อีกทั้งทำให้ทัศนคติของชาวจีนที่เคยมีต่อคนพิการเปลี่ยนไป
ต่อไปคงไม่มีใครกล้าดูถูกเหยียดหยามคนเหล่านี้อีก
เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่า...”ถ้าตั้งใจทำอะไรสักอย่าง..
คนพิการก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้คนปกติเหมือนกัน..
และคนพิการไม่ใช่คนไร้ค่าไร้ความสามารถอย่างที่เคยเข้าใจกัน”
ฝันของเด็กหญิงยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ เพราะเธอยังมีความฝันสูงสุดอีกว่า..
ต้องคว้าเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกให้จงได้
ปัจจุบันแม้ทีมแพทย์จะสร้างขาเทียมให้เธอได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น..
เธอก็ยังคง "รัก" ที่จะใช้ขาเทียมบาสเกตบอลอันเก่งที่ปู่ทำให้ต่อไป
...........................................................................................
ข้อมูลต้นฉบับ จากคอลัมน์ Inspiration “Basketball girl”
“ไร้ขา แต่ไม่ไร้ฝัน” นิตยสาร Secret ฉบับวันที่ 10 สิงหาคม 2557
5++++++++++++++++++++//+++++++++++++++++++++++++++++++/++++++++++++
ไม่มีนรก-สวรรค์
ปรัศนี:  เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า สอนว่า ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ หรือแม้หลังจากตายแล้ว และนิพพานอยู่ที่ เมื่อจิตว่าง ดังนี้เป็นการกล่าวตรงตามที่ท่านอาจารย์กล่าวหรือเปล่าครับ?
พุทธทาส: เราไม่ได้พูดว่า ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ หรือแม้แต่หลังจากตายแล้ว เราว่ามีทั้งสองอย่าง นรกสวรรค์ต่อตายแล้ว ก็ว่าไปตามเดิม ไม่ไปแตะต้องเขา นรกสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่ยืนยันมากให้ตรงตามพุทธประสงค์ นรกสวรรค์อยู่ที่อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอันว่ามันมีนรกชนิดนี้ก็มี นรกสวรรค์ต่อตายแล้วไม่ได้ไปแตะต้องเขา ไม่ได้ไปวิพากษ์วิจารณ์เขา ขอให้เก็บไว้ แต่ควบคุมได้ โดยที่จัดนรกสวรรค์เดี๋ยวนี้ให้ถูกต้อง มันควบคุมถึงไปได้ถึงสวรรค์ต่อตายแล้ว เป็นอันว่ามีนรกสวรรค์ทั้งสองชนิด ทั้งสองประเภท ไม่ได้ยกเลิกชนิดไหนเลย
ข้อที่พูดว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นสำนวนพูดให้เกิดความสนใจ นิพพานมีเมื่อจิตว่างจากกิเลส นี่มีหลักมีเกณฑ์ คือเป็นนิพพานตัวอย่าง คำว่า "นิพพาน" ที่เกี่ยวกันอยู่กับจิตนั้นก็คือ จิตนั้นมันว่างจากกิเลส นี้พูดและยืนยันว่า พูด และจะพูดต่อไปว่า นิพพานตัวอย่างมีเมื่อจิตว่างจากกิเลส เป็นความดับแห่งกิเลส นี่เป็นนิพพานถ้าดับชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว เรียกว่า ตทังคนิพพาน หรือสมยวิมุตติ นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ขอให้คอยสังเกต เมื่อจิตว่างจากกิเลสโดยเหตุใดๆ ก็ตาม แต่มันยังไม่ใช่นิพพานสมบูรณ์ หรือตลอดกาลหรือนิรันดร นิพพานชั่วขณะ เรียกว่า ตัวอย่างก็ได้ เมื่อใดจิตว่างจากกิเลสน่ะ รีบรู้จักเสียเร็วๆ คอยเฝ้าดูจิตเมื่อไม่ปรุงเป็นกิเลส เป็นจิตเยือกเย็น เป็นนิพพานเพื่อจะได้เป็นตัวอย่าง แล้วจะได้ชอบใจ แล้วจะได้เป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานอันสูงสุด คือ นิพพานเต็มรูปแบบ.
เราสนใจนิพพาน ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันนี้ เพื่อทำให้คนไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไว้เรื่อยๆ จะเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานอันแท้จริงหรือสูงสุด ที่ว่าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นิพพานตัวอย่างนั้นพูดจริง แล้วก็พูดต่อไปอีกด้วย พระนิพพานนี้แปลว่า เย็น เมื่อใดเป็นจิตเย็น เย็นอกเย็นใจละก็เมื่อนั้น เป็นนิพพาน แต่คำวา เย็น คำนี้ ก็พิเศษอีกแหละ กลัวว่า ผู้ถามคนนี้คงฟังไม่ถูก ผู้ถามรู้จักแต่เย็นที่คู่กับร้อน ถ้าร้อนก็ต้องเปิดพัดลม ถ้าเย็นถ้าหนาวก็ต้องห่มผ้า แต่มีความเย็น อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีเมื่อไม่เย็นไม่ร้อน เมื่อไม่เย็นไม่ร้อนชนิดนี้จะเกิดความเย็นชนิดหนึ่งซึ่งเป็นนิพพาน เมื่อไม่รบกวนด้วยความเย็นหรือความร้อนในโลกนี้ มันก็มีความเย็นอย่างโลกุตตระ เป็นนิพพาน ที่ใช้สอนกันในเบื้องต้นว่า เย็นคู่กับร้อน สุขคู่กับทุกข์ สุขที่คู่กับทุกข์ก็ยังเป็นทุกข์เย็นทั้งที่คู่กับร้อนมันก็ยังเป็นทุกข์ ต้องปัดทิ้งไปให้หมดทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งอะไรทุกๆ คู่ จึงจะเป็นนิพพาน, กล่าวว่า จิตเย็นเป็นนิพพาน คือเย็นต่อเมื่อไม่มีทั้งร้อนและทั้งเย็นในความหมายของโลกๆ เอ้า มีอะไรอีก.

คัดบางตอนจากหนังสือดอกโมกข์ ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๒๐๙-๒๑๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น