++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รำลึกถึงหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ



...วัดภูเขาทอง ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์แต่เริ่มต้นจากติดลบด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นชาวบ้าน ไม่รู้จักศีล รู้จักธรรมเลย ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านย้ายมาที่นี่ใหม่ๆ ต้องขนขวดเหล้าออกจากวัด ไม่ใช่แค่สิบแต่เป็นร้อยๆ ขวด เพราะคนเอาเหล้ามากินในวัด ใช้ศาลาวัดเป็นบ่อนเล่นการพนัน ท่านต้องมาฟื้นฟูวัดให้เป็นระเบียบ ให้เป็นศูนย์กลางทางธรรมของผู้คน เมื่อท่านมาแล้วท่านก็ต้องทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านกลายๆ คือต้องช่วยระงับความขัดแย้งของผู้คนให้กลับมาคืนดีกัน ชักชวนให้ผู้คนสามัคคีกัน

ทั้งที่นั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของหลวงพ่อที่ขึ้นมาบนหลังเขาเลย ท่านต้องการมาสอนธรรม เพราะท่านถนัดทางนั้น แต่เมื่อท่านเห็นความทุกข์ยากของผู้คนเพราะความไม่มีขื่อไม่มีแป ทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านจึงรับมาเป็นทั้งผู้นำทางจิตใจและผู้นำของชุมชนไปด้วยในตัว ทีละน้อยๆ ท่านก็สามารถสร้างศรัทธาให้ผู้คนมีในตัวท่าน และมีในพระธรรมคำสอน จนชาวบ้านพากันเข้าวัดเพื่อมาถือศีลปฏิบัติธรรม อบายมุขก็ค่อยๆ ลดลงไป การทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นเลือดตกยางออกก็ลดน้อยลง

หลวงพ่อคำเขียนท่านมีเมตตามาก เมื่อเห็นความทุกข์ยากเดือดร้อนเกิดขึ้นซึ่งๆ หน้า ท่านจะไม่นิ่งดูดาย ปล่อยให้ผ่านเลยไป เมื่อท่านทราบว่าเด็กชาวบ้านตัวเล็กๆ ต้องตายเพราะตามพ่อแม่เข้าไปทำไรทำนาในป่า ท่านก็จัดทำศูนย์เด็กขึ้น รับเอาลูกของเขามาดูแลที่วัดนี่แหละ โดยท่านไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นคือศูนย์เด็กแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิ ศูนย์เด็กแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิอยู่บนเขานะ ไม่ได้อยู่ในเมือง ท่านทำด้วยความเมตตา อยากจะช่วยชาวบ้านดูแลเด็กให้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ ตามมาด้วยการสอนให้รู้หนังสือและรู้จักธรรมะ

เป็นเพราะศูนย์เด็กแห่งนี้ อาตมาจึงได้มาพบกับหลวงพ่อ ตอนนั้นอาตมาเป็นฆราวาส ทำโครงการแด่น้องผู้หิวโหย ช่วยเหลือเด็กขาดอาหารในภาคอีสาน โดยเฉพาะชัยภูมิ นครราชสีมา เมื่อเห็นว่าหลวงพ่อมีกิจกรรมที่น่าสนับสนุนก็เลยขึ้นมาบนหลังเขา ตอนนั้นไม่ทราบด้วยซ้ำว่าท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ ต่อมาก็มาช่วยท่านทำสหกรณ์ข้าวเพื่อช่วยให้ชาวบ้านมีข้าวราคาถูก เพราะสมัยนั้นข้าวมีราคาแพงมากเนื่องจากไม่มีถนนขึ้นเขา ต้องขนข้าวใส่หลังปีนเขาขึ้นมา ทำให้ข้าวมีราคาสูง แต่ถ้ามีสหกรณ์ขายข้าว โดยขนมาเยอะๆ จากชัยภูมิซึ่งตอนนั้นมีถนนแล้ว ก็จะทำให้ข้าวราคาถูก ชาวบ้านก็สามารถหาซื้อได้ไม่ยากนัก

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะความเมตตาของหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้คิดจะทำเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ท่านก็ได้มาช่วยพัฒนาชุมชนจนกระทั่งชาวท่ามะไฟหวานสามารถลืมตาอ้าปากได้ แต่ตลอดเวลาท่านก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องกรรมฐานเลย ทุกครั้งที่ท่านได้รับการร้องขอจากหมู่คณะให้ไปแสดงธรรม ท่านก็ลงจากเขาไปแสดงธรรมตามที่ต่างๆ ทั้งกรุงเทพ หาดใหญ่ ขอนแก่น

หลวงพ่อไม่ได้สนใจแต่ความทุกข์ยากของชุมชน แต่ยังสนใจความเดือดร้อนของธรรมชาติ หลวงพ่อรักธรรมชาติมาก และนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ท่านกลับไปปักหลักอยู่ที่วัดป่าสุคะโต เพราะนั่นเป็นที่ๆ ท่านจะอนุรักษ์ป่าไว้ได้ สำหรับหลวงพ่อแล้ว ธรรมะกับธรรมชาติแยกจากกันไม่ออก หลวงพ่อบอกว่า เมื่อท่านมาพบธรรม ท่านก็มีความรักหวงแหนในธรรมชาติมาก ท่านได้อนุรักษ์ป่าสุคะโต ทั้งๆ ที่ยากลำบากมาก เพราะว่ามีคนมาลักตัดไม้เป็นประจำ อีกทั้งยังต้องสู้รบกับไฟที่มาจากไร่ข้างเคียง เผาทำลายป่าทุกปีๆ แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ

หลวงพ่อคำเขียนมีภาระเยอะมากทั้งนี้เพราะความเมตตากรุณาของท่านอย่างไม่มีประมาณ ท่านใส่ใจชุมชน และเป็นห่วงใยธรรมชาติ แต่ตลอดเวลาที่ทำงานช่วยเหลือชุมชนและอนุรักษ์ธรรมชาติ ท่านก็สอนธรรมะไปควบคู่กัน...

พระไพศาล วิสาโล

อ่านบทความเต็มได้ที่
http://www.visalo.org/article/person15lpKumkien4.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น