++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เบื้องหลังราชประสงค์ที่อภิสิทธิ์ไม่กล้าปราศรัย โดย จิตตนาถ ลิ้มทองกุล

คงจะเต็มอิ่มกันแล้วนะครับ กับการปราศรัยที่ราชประสงค์ของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รองฯ เทพเทือก ในฐานะเลขาพรรคประชาธิปัตย์ ผู้มีหน้าที่ดูแลเรื่องความมั่นคงของประเทศ ก็หวังว่าคนเสื้อแดงจะได้ตาสว่างกันเสียทีว่าแท้จริงแล้ว 91 ศพนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร และใครที่เชื่อมโยงกับขบวนการเผาบ้านเผาเมือง

แต่การเพิ่งมาพูดชัดๆ ในเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าระหว่างจำนวนคนเสื้อแดงที่ได้ฟังข้อมูลแล้วจะหูตาสว่างมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์ กับจำนวนคนเสื้อแดงที่ถูกยัดข้อมูลผิดๆ มาแรมปีแต่รัฐไม่เคยให้ข้อมูลที่ถูกแก่เขาเพราะไม่ต้องการจะไปสะกิดแผลตามนโยบายปรองดองแล้วยิ่งฟังจะยิ่งแค้นหาว่านายกฯ โกหกให้ร้ายพวกเขา อะไรจะมากไปกว่ากัน

แต่ที่รู้ๆ หลังการเลือกตั้ง มวลชนทั้งฝ่ายแดงและประชาธิปัตย์ ไม่สามารถจะอยู่ร่วมผืนแผ่นดินเดียวกันได้อีกต่อไป เพราะนโยบายปรองดองที่นายอภิสิทธิ์พยายามใช้มาตลอดนั้น ถูกขยี้จนแหลกเละไม่เป็นชิ้นดีด้วยคำพูดของท่านเองจากเวทีราชประสงค์เมื่อคืนนี้ แต่ในมุมของประชาธิปัตย์ก็คงจะคุ้ม เพราะคิดว่าน่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้พลังเงียบตัดสินใจได้ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกใจการบริหารของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม

อันที่จริงข้อมูลที่นายอภิสิทธิ์และรองเทือกปราศัยนั้น คนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารคงจะได้ผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยมีใครมาปะติดปะต่อเชื่อมโยงกันให้เห็นถึงเรื่องราวทั้งหมดเหตุใดจึงเกิดตรงนั้น และทำไมเหตุการณ์จึงพัฒนามาถึงวันนี้ เพราะการจะเข้าใจอะไรเราต้องเข้าใจภาพรวมป่าทั้งป่า ไม่ใช่เพียงแค่ชายชุดดำและแค่แกนนำแดงปลุกระดมให้มีการเผาบ้านเผาเมืองแล้วฆ่ากันเองก่อนจะมาโยนผิดให้รัฐ

ย้อนกลับไปในช่วงม็อบเสื้อแดงในปี 2553 ถ้ายังจำกันได้ เราคงจะเห็นนายอภิสิทธิ์ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ บ่อยครั้งจนเฝือ แต่ทางรัฐก็ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ในขณะมวลชนเสื้อแดงและกองกำลังชุดดำรุกไล่และกดดันรัฐและทหารอย่างหนัก ทั้งยังมีข่าวว่านายอภิสิทธิ์กำลังจะถอดใจยุบสภาเพราะว่าเชิญแกนนำ นปช.มาดีเบตตามที่ท่านถนัดจนหมอเหวงออกอาการเหวงออนแอร์ให้เห็นแล้วก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น

แม้ว่าจะมีกลุ่มคนเสื้อหลากสีออกมาให้กำลังใจ และมีหลายคนออกมาเตือนให้บล็อกมวลชนเสื้อแดงให้อยู่ในพื้นที่จำกัดอย่าให้ไปตั้งม็อบที่ราชประสงค์ได้ และให้ปรับยุทธการรับมือใหม่ แต่นายอภิสิทธ์ก็ยังคงไม่กล้าตัดสินใจ ปล่อยให้เหตุการบานปลายสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง เป็นเหตุให้เราต้องเสียทหารหาญไปหลายคนเป็นเหยื่อของกองกำลังติดอาวุธชุดดำ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ก็เป็นหนึ่งในนั้น

กระทั่งมวลชนเสื้อแดงยึดราชประสงค์เป็นที่ตั้งหลัก และเริ่มหนักข้อเข้าไปตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาฯ มีการเอาถังแก๊สนับสิบถังไปไว้ใต้อาคาร จนกระทั่งสมเด็จพระสังฆราชต้องเสด็จอพยพออกอย่างเร่งด่วน แทนที่จะสั่งการอย่างเด็ดขาด กลับมีข่าวว่ามีรัฐมนตรีและคนในพรรคแมลงสาบบางคนไปเจรจาต่อรองกันลับๆ กับตัวแทนของทักษิณ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่อยากโดนตราหน้าว่าเป็นนายกฯ มือเปื้อนเลือดสั่งปราบประชาชน

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความอึดอัดและเดือดร้อนแก่ประชาชน และทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างยิ่งจนมีกระแสเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติและจัดการบ้านเมืองให้เข้าสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด ซึ่งกำลังจะไปเข้าเส้นทางการเถลิงสู่อำนาจของทหารอ้วนผู้ดูแลความมั่นคง ผู้รอชุบมือเปิบ หากนายอภิสิทธิ์ยังไม่ตัดสินใจ

และนั่นจึงเป็นที่มาของการแจ้งเกิดของ “เสธ.ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่มาออกทีวีแทนนายอภิสิทธิ์และเปลี่ยนการตัดสินใจในทางยุทธการไปสู่มือของกองทัพ จนกระทั่งเกิดยุทธการกระชับพื้นที่ที่ต้องแลกมาด้วยการที่บ้านเมืองถูกเผาและมีผู้เสียชีวิตโดยรวม 91 ศพดังที่นายอภิสิทธิ์และรองเทือกได้ชี้แจง ณ ราชประสงค์ อย่างไรก็ตาม จากการเจรจาครั้งนั้นทำให้แกนนำแดงได้รับอานิสงส์ถูกควบคุมตัวอย่างละมุนละม่อมไปเสวยสุขในบ้านพรรคตากอากาศในรั้วตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ค่ายนเรศวร

หลังเหตุการณ์เผาเมืองสงบลง และคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยลดฮวบต่ำกว่าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ก็รู้จึงมองว่าเป็นช่วงเหมาะสมหากจะมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ก็รู้ว่าอาจจะเจอกับมาตรการต่อต้านการหาเสียงของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังแค้นฝังหุ่น และเกิดความรุนแรงขึ้นได้อีก ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากถูกพรรคภูมิใจไทยขี่คออีกต่อไป การเจรจาทางลับของกลุ่มคนชุดเดิมของทั้งสองขั้วจึงมีการสานต่อ

ข้อเสนอที่เป็นการตกลงของทั้งสองฝ่าย คือ หากพรรคแมลงสาบชนะ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาลเป็นรัฐบาลผสมพรรคใหญ่สองพรรคที่มีเสถียรภาพและลบภาพความขัดแย้ง โดยจะมีนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เพื่อจะให้มวลชนคนเสื้อแดงยอมรับ รัฐบาลจะต้องดำเนินแผนการปรองดอง โดยเริ่มจากการปล่อยตัวนายวีระ มุสิกพงศ์ (ปัจจุบันคือ วีระกานต์ มุสิกพงศ์) ออกมาเป็นผู้ประสานงาน

นั่นคือที่มาของคณะกรรมการปรองดอง ที่มี นายคณิต ณ นครที่นายอภิสิทธิ์เชื้อเชิญมาเป็นหนังหน้าไฟ และ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นคนเดินเกม ซึ่งเป้าหมายคือการปล่อยตัว 7 แกนนำก่อการร้ายที่อยู่ในคุกเพื่อซื้อใจคนเสื้อแดง ขณะนั้นประชาธิปัตย์ย่ามใจกับคะแนนนิยมของตนเองที่อยู่เหนือพรรคเพื่อไทย จึงเทน้ำหนักมาที่การปรองดองมากกว่าการใช้หลักนิติรัฐจัดการกับคนผิดและใครที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็จะถูกวิชามารกล่าวหาว่าไม่อยากให้บ้านเมืองสงบ

ในขณะที่แผนปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดงดำเนินการประสานผ่านทางนายวีระ และ “ธิดาแดง” นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ทหารผู้ร่วมปฏิบัติการกระชับพื้นที่คืนความสงบให้บ้านเมืองกลับถูกลอยแพ โดยถูกตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน และนั่นคือสิ่งที่แกนนำเสื้อแดงนำเอาไปบิดเบือนและปลุกเร้าให้มวลชนที่เลียแผลในที่ตั้งมีความเข้าใจผิดกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม

ภาพของแกนนำเสื้อแดงที่ถูกปล่อยตัวมาราวฮีโร่ สร้างความฮึกเหิมให้มวลชนแดง เข้าใจว่าพวกเขาเหล่านั้นถูกปล่อยตัวออกมาเพราะรัฐบาลต้านทานการกดดันของประชาชนไม่ไหว ซึ่งทางหนึ่งก็สร้างความโล่งใจให้กับนายอภิสิทธิ์เพราะมีกระแสข่าวว่าอาจมีการปฏิวัติเพื่อจัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มล้มเจ้า-เผาเมือง หลังจากการขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และตัวช่วยสะกดความเคลื่อนไหวทหารเอาไว้ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่า 7 แกนนำแดงที่เพิ่งถูกปล่อยตัว

นายอภิสิทธิ์ ณ เวลานั้นต้องการจะเยียวยาแต่ทางคนเสื้อแดง ขณะที่ผู้เสียหายตัวจริงอย่างผู้ค้าย่านราชประสงค์ถูกลอยแพให้เจรจากับกลุ่มเสื้อแดงเอาเอง และที่ลืมไม่ได้คือภรรยาของ พ.อ.ร่มเกล้า (ซึ่งได้รับพระราชทานยศเป็น พล.อ.ร่มเกล้า หลังเสียชีวิต) ยังคงแต่งดำทำงานอยู่ในทำเนียบที่นายอภิสิทธิ์นั่งทำงาน เพื่อเรียกร้องหาความยุติธรรมให้สามีเธออยู่ทุกวัน

และในเวลาไม่นานหลังจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกสังคมตั้งคำถามกรณีการขาดแคลนน้ำมันปาล์มที่มีการกักตุน และราคาสินค้าบริโภคที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปเป็นทุนเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง ซึ่งความเดือดร้อนดังกล่าวกระทบไปถึงทุกครัวเรือน มีการตำหนิรัฐบาลประชาธิปัตย์ว่าเป็นรัฐบาลอำมาตย์ที่หากินกับคนหาเช้ากินค่ำ

เหตุการณ์เหล่านี้เริ่มทำให้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยกระเตื้องขึ้นมา ในที่สุดนายอภิสิทธิ์จึงต้องรีบตัดสินใจยุบสภาก่อนที่คะแนนจะทิ้งห่างไปมากกว่านี้ ทว่า กว่าพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์จะรู้ว่าเสียค่าโง่ให้กับพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงก็สายเกินไป เพราะไปหาเสียงที่ไหนก็โดนกลุ่มคนเสื้อแดงตามรังควานและเอาเรื่อง 91 ศพราชประสงค์เป็นเครื่องมือในการโจมตีอย่างได้ผล

นอกจากนี้ กระแสการโหวตโนของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มุ่งไปสู่การปฏิรูปการเมืองกำลังเป็นที่กล่าวขานของสังคม รวมไปถึงกระแสของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่แอบแตะมือกับพรรคเพื่อไทยลับๆ เพื่อตัดคะแนนประชาธิปัตย์ กำลังออกฤทธิ์ ยุทธวิธีสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์จึงใช้เรื่องเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง และเรื่องขบวนการล้มเจ้า ออกมาใช้เพื่อให้คนที่รักบ้านเมืองรักสถาบันยอมจำนนกลับมาเทคะแนนเสียงให้ โดยผ่านตัวแทนที่ไม่เป็นทางการอย่างคนทำสื่อ ทั้งเครือเนชั่นและไทยโพสต์ หมอตุลย์ นายแก้วสรร รวมไปถึงการออกมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ชั่งน้ำหนักแล้วว่าพร้อมที่จะร่วมหัวจมท้ายกับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า และหมัดสุดท้ายคือการปราศรัยที่ราชประสงค์ของนายอภิสิทธิ์ที่ผ่านมาเมื่อคืน

แต่หากใครได้ใช้ตรรกะคิดให้ดีถึงลำดับเหตุการณ์เบื้องลึกเบื้องหลังราชประสงค์ดังกล่าว คงจะเห็นชัดว่า ใครเป็นคนปล่อยให้บ้านเมืองโดนเผา ใครเป็นคนเลี้ยงไข้ให้ขบวนการล้มเจ้าเติบโต ใครเป็นรู้เห็นเป็นใจกับการประกันตัวผู้ก่อการร้าย ใครกำลังตอกลิ่มให้แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง และใครกำลังจะเอาคะแนนบริสุทธิ์เอาความรักชาติรักบ้านเมืองรักสถาบันของคุณเป็นตัวประกัน

สำหรับนักการเมืองแล้ว ตำแหน่งสำคัญกว่าสิ่งใด พรรคการเมืองสำคัญกว่าประเทศชาติและประชาชน เราจะยอมจำนนให้กับคนเหล่านี้หรือครับ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น