++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

คำขอปรองดอง จากบาร์ย่านราชดำริ

โดย อุษณีย์ เอกอุษณีษ์ 9 กันยายน 2553 16:46 น.
คงจะมีที่เดียวในโลก คือ ในประเทศไทย ที่แผนปรองดองถูกเรียกร้องและได้รับการขานรับกันระงมไปทั่วทั้งสังคม ในจังหวะเดียวกับที่ ศอฉ. หรือศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ประกาศปูพรมจุดเสี่ยงกว่า 4 ร้อยจุดไปทั่วกรุงเทพฯ รวมถึงที่ทำการสื่อมวลชนอย่าง สำนักงานบ้านพระอาทิตย์ และบ้านเจ้าพระยา ซึ่งถูกรวมเป็นจุดเสี่ยง 2 ใน 400 กว่าจุด ที่เป็นเป้าหมายการทำลายล้าง ที่ฝ่ายความมั่นคงแจ้งเตือนเอาไว้ด้วย

ทั้งที่โดยทั่วไปแล้ว “ความปรองดอง” น่าจะนำมาซึ่งบรรยากาศแห่งสันติ และความสงบสุขมากกว่า จะนำมาซึ่งการส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่กระชับกระบองในมือให้มั่นอีกครั้ง เพราะเพิ่งสิ้นควันไฟจากการกระชับพื้นที่รอบ 19 พฤษภาคม ไปได้ไม่กี่เดือน

จริงๆ ถ้าใครคุ้นชินกับ การปรองดองแบบไทยๆ คงจะไม่แปลกใจกับการยื่นเงื่อนไขขอเจรจาของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งในและนอกสภา เพราะคนกลุ่มนี้ก็มีวิธีเฉพาะตัวของเขา

การเจรจาเกิดขึ้นทุกครั้ง ก่อนจะลงท้ายด้วยการเผาเมืองทุกครั้งไป ไม่ว่าที่สุดแล้ว การเจรจาจะลงท้ายด้วย รัฐบาลจะรับ หรือไม่รับข้อเสนอของฝ่ายตรงข้าม หากรับ รับได้แค่ไหน อย่างไรก็ตาม ก็เป็นอีกประการ เช่น ก่อนเหตุการณ์เมษาเลือด 12 เมษายน 2552 ก็มีข่าวกระฉ่อนไปทั่วว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง ต่อสาย เจรจากับ นช.ทักษิณ จนถูกสังคมตำหนิถึงสถานะของคู่เจรจาว่า เหมาะสมหรือไม่ ที่“เจ้าหน้าที่รัฐกับโจรเจรจาต่อรองกัน”

และสุดท้าย การเจรจาที่ว่านั่น ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผาเมืองได้

การกลับมารวมตัวของคนเสื้อแดงหลังเผาเมืองรอบแรก ใช้เวลาเพียงปีเดียว ก็กลับลงสู่สนามต่อสู้ได้อย่างน่ากลัว เพราะขณะที่คนเสื้อแดงเปลี่ยนความแค้นเป็นเชื้อเพลิงในใจ พวกเขายังใช้ปฏิบัติการมวลชนกระจายฐานกำลังไปทั่วประเทศ ขณะที่รัฐบาลเองกลับวุ่นสาละวนในเรื่องอื่น จนไม่ได้ติดตามเอาผิดผู้ร่วมปฏิบัติการ 12 เมษา 52 และถูกตำหนิจากคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา ที่เข้าไปตรวจสอบเหตุการณ์ 12 เมษายน ไล่ตั้งแต่เหตุการณ์ล้มประชุมอาเซียน จนถึงปฏิบัติการสามเหลี่ยมดินแดง

ก่อนเผาเมืองรอบสอง มีความพยายามที่จะขอเจรจาระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงบ่อยครั้ง และนำมาซึ่งการเจรจาผ่านทีวีระหว่าง ทีมของวีระ มุสิกพงศ์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนหน้าการถ่ายทอดสดจะเกิดขึ้น เอเชียไทมส์ สำนักข่าวต่างประเทศ โดย นายฌอน คริสปิน บก.ประจำภูมิภาคนี้ ได้ดอดเข้าไปสัมภาษณ์แกนนำแดง เพื่อขอความเห็นเรื่องการเจรจาจำได้ว่าเป็นการสัมภาษณ์ขวัญชัย ไพรพนา กับนายสุพร อัตถาวงศ์ แรมโบ้อีสาน

คริสปิน เล่าว่า

“แกน นำแดงรายนี้ ประกาศต้องการการเจรจาอย่างสันติ พร้อมกับที่มือขวาของเขาคว้าเอาปืนสั้นกระบอกหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะใกล้ๆ นั่นจึงทำให้นักข่าวฝรั่งอย่างเขาได้ตระหนักถึงรูปแบบ และวิธีการที่คนเสื้อแดงใช้มาตลอด”

บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน คือ วันที่เสียงร้องขอ “ความปรองดอง” อย่างเป็นทางการจากฟากฝั่งพรรคเพื่อไทย ดังออกมาจากปากของนายปลอดประสพ ระหว่างการแถลงข่าว ณ ที่ทำการพรรค ก่อนที่คืนวันเดียวกัน รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนนี้ จะถือกระดาษแผ่นเดียวนี้ที่เป็นร่างข้อเสนอ 5 ข้อ ไปยื่นให้ผู้ร่วมวงรับประทานอาหาร อันประกอบด้วย สมาชิกจากพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค กับบรรดานักการทูตต่างประเทศ หลายชาติ ที่มีทูตจากฝั่งยุโรปเป็นเจ้าภาพ

ก่อนที่ต่อมา คุณชายสุขุมพันธุ์ จะออกมาปฏิเสธว่า ข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ ที่ได้รับจากวงอาหารมื้อพิเศษมื้อนั้น ยังไม่ถือว่า เป็นการตอบรับข้อเสนอแต่อย่างใด เพราะเป็นกระดาษที่ถูกยัดใส่มือ ก่อนที่แต่ละคนที่ร่วมโต๊ะจะพากันแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน

หลังจากนั้นเพียงวันเดียว ศอฉ.ก็มีการประกาศออกมาในวันศุกร์ที่แล้วว่า คนกรุงเทพฯ หลังจากนี้ ต้องใช้ชีวิตอยู่จุดเสี่ยงอันตรายกว่า 4 ร้อยจุดทั่วกรุงฯ ก่อนจะตามมาด้วยระเบิดถังดับเพลิง ที่ถูกนำไปวางไว้เบื้องต้น 4 จุด ทั้งที่โรงเรียนสันติราษฎร์ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน กระทรวงสาธารณสุข และล่าสุด ที่ปทุมธานี แม้จะเก็บกู้ได้โดยที่ยังไม่ระเบิดก็ตามที

แต่ก่อนหน้านี้ เพิ่งมีระเบิดชนิดตั้งเวลา และ M79 ระเบิดที่ซอยรางน้ำ และหน้าโรงแรมพูลแมนมาแล้ว-เป็นพูลแมน ที่เดียวกับที่เมื่อเมษายน 52 เคยกลายเป็นจุดจอดรถแก๊สของเสื้อแดงเผาเมืองรอบแรก แต่โชคดีที่ครั้งนั้นเจ้าของพูลแมนยังโทรศัพท์สายตรงไปขอให้เจ้าของรถเลื่อน ออกไปจอดห่างๆ ได้ แต่สำหรับ พ.ศ.นี้ หลายอย่างมันได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว

ผู้เขียนขอพักเรื่องเผาเมือง และวกกลับมาที่เรื่องความฮอตฮิต ของแนวคิด “ปรองดอง” อีกครั้ง

ต้องยอมรับว่า เป็นแนวคิดที่เป็นที่นิยมจริงๆ เพราะไม่เว้นแม้แต่ในวงสนทนา ในงานเลี้ยงวันเกิดนายทหารชื่อดัง “|เสธ.ไอซ์ - พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต” อดีตหัวหน้าฝ่ายเสธ.ประจำ รมว.กลาโหม ที่จัดขึ้นเมื่อพุธที่แล้ว ในร้านบาร์ไฮโซ ย่านราชดำริ “100 ฟาราเบล่า” ก็มีการพูดคุยกัน

คอลัมน์แซวกองทัพของหนังสือพิมพ์อย่างน้อย 2 ฉบับคือ ไทยโพสต์ กับ บ้านเมือง ให้ความสนใจยิ่งกับงานวันเกิดครบรอบปีที่ 61 ของเสธ.คนดังวัยเลยเกษียณนายนี้ เพราะเป็นอีกเวทีที่มีการรวมตัวของอดีตขุนพลข้างกายทักษิณ ชินวัตร ที่พร้อมใจกันหายหน้าหายตาไปจากแวดวงการเมืองเป็นเวลายาวนาน

นำโดย บิ๊กแอ๊ด พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีกลาโหม สมาชิกบ้าน 111 ที่ต้องหลบไปยืนหลังเวที และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตีกอล์ฟ บิ๊กโอ๋ พล.ท.พฤณฑ์ สุวรรณทัต อดีต ผบ.พล.1 ร.อ. ที่โดนข้อกล่าวหา หนุนหลังการเงินให้ แดงฮาร์ดคอร์ รอบที่แล้ว

จน ศอฉ.สั่งแช่แข็งบัญชีการเงิน ว่ากันว่า แม้สุดท้าย น้องๆ ใน ศอฉ.กับพี่เบิ้มทหารเหล่านี้จะชี้แจงจนเข้าอกเข้าใจกันดี กากี่นั้ง และปลดล็อกบัญชีการเงินกันไปเป็นที่เรียบร้อย แต่บิ๊กโอ๋ยังได้แบกความอัดอั้นไประบายให้คนในงานดังกล่าวฟังว่า “เรามันคนไม่ใช่ (ปชป.) ทำอะไรก็ผิด”

ในคืนเดียวกันนี้ ยังมีคนคุ้นหน้าอย่าง ร.อ.มนัส พรมเผ่า นายทหารนอกราชการเจ้าของ บริษัท รปภ. “ธรรมมนัสกรุ๊ป 888” ผู้ตกอยู่ในสถานะถูกฟรีซบัญชีการเงินก่อนหน้านี้เช่นกัน แต่ชื่อหลุดล็อกดังกล่าว ในภายหลังเป็นรอบสุดท้าย

โดยเจ้าของงานวันเกิด พี่ไอซ์ของน้องๆ นอกจากจะร่วมรังสรรค์กับพี่น้องผู้ร่วมสุข และทุกข์ในวันที่ฟ้าเปลี่ยนสี เจ้าภาพยังได้ใช้โอกาสเดียวกันระหว่างทำบุญวันเกิดเมื่อวันเสาร์ เคียงข้างเพื่อนนายทหารรุ่น 10 หลายคน โดยตอนหนึ่งได้เปิดใจกับสื่อมวลชน ที่มารอทำข่าวว่า

“อยากเห็นบ้านเมืองสงบ อยากเห็นความปรองดอง และเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้เร็ววัน หากทุกฝ่ายจริงใจที่จะหันหน้ามาคุยกัน”

แค่คิดก็ขนหัวลุก เมื่อพบว่า การเจรจาทำท่าจะเริ่มขึ้นอีกแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น