++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ขณะที่ความทุกข์กำลังโหมหนักและอาจหนักมากขึ้

เธอที่รักทุกคน ฉันเชื่อว่าผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างรู้เหตุรู้ผล โดยไม่คิดและนำปฏิบัติในสิ่งที่ก่อความเดือดร้อนให้เพื่อนมนุษย์ หากมุ่งมั่นทำงานและนึกถึงสาธารณะประโยชน์เหนือตนอย่างต่อเนื่อง มาถึงช่วงนี้หลายคนคงได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก ซึ่งแท้จริงแล้วมีเหตุมีผลสืบเนื่องมาจาก “การสูญเสียความเป็นมนุษย์” ทำให้สังคมจำต้องพบกับความเดือดร้อนแทบจะทุกหย่อมหญ้า ดังนั้นถ้าคนในสังคมยังไม่อาจปรับรากฐานตนเองให้สู่อิสรภาพได้ ความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจย่อมมีแนวโน้มตกต่ำลงไปอีก

ความเป็นมนุษย์จะมีโอกาสฟื้นคืนสู่สภาพปรกติได้ก็ต่อเมื่อ รากฐานจิตใจคนสามารถหยั่งรู้ถึงคุณค่าของพื้นดินซึ่งเชื่อมโยงถึงคุณค่าของเพื่อนมนุษย์และสรรพชีวิตที่อยู่ร่วมพื้นดินเดียวกับตน โดยที่มีกระแสสัจธรรมเป็นสื่อธรรมชาติอย่างสำคัญ ก่อนการมุ่งไปให้ความสำคัญของสื่อทุกรูปแบบซึ่งคนทำขึ้นมาเพื่อใช้หาประโยชน์

เธอที่รักของฉัน หากแต่ละคนซึ่งมีชีวิตมีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นโดยมีความเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล ย่อมหมายความว่ามีจิตวิญญาณที่สามารถมองเห็นคุณค่าของพื้นดินได้ เมื่อมาถึงช่วงนี้คงมีโอกาสได้เห็นซึ่งเป็นมิตรร่วมแผ่นดิน ร้องทุกข์ด้วยความเดือนร้อนจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแทบทุกหย่อมหญ้า รวมทั้งให้ความสนใจแก่ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติดและคนฆ่าตัวตาย ซึ่งมีแนวโน้มกว้างขวางยิ่งขึ้น

แต่กลับพบกับวิถีทางตรงกันข้าม โดยที่ได้ยินคนระดับบนยิ่งในด้านที่เข้าไปถืออำนาจรัฐ พูดแต่เพียงว่า “ให้ช่วยกันประหยัดและอดทนเข้าไว้” แม้อาจมองเห็นภาพขาสองข้างของคนกลุ่มนี้อยู่ที่พื้นดิน แต่ก็เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วครู่ และเน้นอยู่ที่พื้นดินซึ่งมีสนามก็อล์ฟสำหรับชีวิตเศรษฐีเป็นพื้นฐานรองรับ หาใช่พื้นดินบนความหมายของสัจธรรมซึ่งทำหน้าที่สร้างสรรค์ความลึกซึ้งให้กับรากฐานความคิดไม่

ระหว่างนี้ สิ่งที่ปรากฏเป้นความจริงให้ทุกคนเห็นได้ชัดเจนจากพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวก็คือ ด้านหนึ่งมุ่งสร้างหนี้สินจากคนต่างถิ่นไว้ให้คนชาติเดียวกันซึ่งอยู่ระดับล่างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กับอีกด้านหนึ่ง มุ่งรีดภาษีและเพิ่มค่าบริการสาธารณูปโภคทุกรูปแบบให้สูงยิ่งขึ้น แต่มิได้สะท้อนให้พลังเกิดจากศรัทธาจากด้านล่างสู่ด้านบนให้มีผลลึกซึ้งถึงรากฐาน

ทำให้หลายคนได้รู้สึกจากธรรมชาติของตนว่า “เป็นภาพของการมุ่งทำร้ายคนชาติเดียวกันซึ่งดำรงชีวิตอยู่ในระดับล่าง” ทั้งๆที่แท้จริงแล้วก็คือฐานรองรับคนระดับบน จากการที่คนกลุ่มนี้คิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างง่ายๆ แม้การแก้ปัญหาสังคมก็เช่นกัน ดังที่พบความจริงว่า เน้นใช้อำนาจจับกุมปราบปรามด้านเดียว เนื่องจากขาดความคิดขาดรากฐานซึ่งควรจะหยั่งลงถึงความจริงของปัญหา

“แผนพัฒนาประเทศแผนที่ 8 ซึ่งเน้นพัฒนาคุณภาพคน” จากการประชุมเตรียมการอย่างเอาจริงเอาจังกันมานานพอสมควร โดยที่หวังว่าในอนาคตจะมีการทำร้ายคนไทยด้วยกันเองลดน้อยลง แต่จากสภาพที่เป็นจริงขณะนี้ทำให้รู้สึกว่าคงเลิกพูดถึงกันไปแล้ว หากปล่อยให้อยู่บนแผ่นกระดาษต่อไปเท่านั้น เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การยึดติดอยู่กับกฎระเบียบบนแผ่นกระดาษแม้จะเขียนไว้สวยหรูแค่ไหน ย่อมมีผลปิดกั้นการเรียนรู้สัจธรรมของคน จนกว่าจะมองเห็นคุณค่าของการลงไปใช้ชีวิตสัมผัสคนระดับล่างจากใจจริง

อนึ่ง คนระดับบนๆ ยังคงสะท้อนความรู้สึกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติว่า “มีความทุกข์ร้อนมากโดยที่ห่วงว่า คนต่างชาติจะมีภาพพจน์ไม่ดี แต่ไม่มีการพูดถึงความสำคัญในการสร้างภาพพจน์จากคนไทยซึ่งจำต้องเกิดจากแรงศรัทธาจึงจะบรรลุผลให้เชื่อมั่นได้” เสมือนผู้ที่ขึ้นไปอยู่ด้านบนส่วนใหญ่ลืมพื้นฐานตัวเอง ทำให้ด้านซึ่งรู้ได้แต่ยังเป็นส่วนน้อยถอยออกมายืนอยู่ภายนอกให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากผู้ที่ขึ้นไปอยู่ในอำนาจและยิ่งสูง มีความจริงใจต่อคนระดับล่างโดยเน้นการนำปฏิบัติอย่างเป็นธรรมชาติย่อมเกิดศรัทธามากขึ้น การพัฒนาประเทศน่าจะประสบความสำเร็จได้ทุกเรื่อง อีกทั้งยังพบต่อไปว่ามีความมั่นคงด้วย

แต่เรากลับพบความจริงว่า มีการวิ่งไปแสดงความจริงใจกับชนต่างแผ่นดิน ซึ่งแน่นอนที่สุดถ้าเขาฉลาดกว่าเราย่อมรู้เท่าทันได้เองว่า น่าจะมีสิ่งอื่นแอบแฝงอยู่ภายใต้พฤติกรรมดังกล่าว แต่อย่างน้อยก็เป็นโอกาสให้เราต้องตกเป็นเหยื่อเศรษฐกิจและสังคมแก่ชนต่างชาติลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก

วิถีการเปลี่ยนแปลงของสังคมเท่าที่มองเห็นความจริงอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่คิดโดยนำเอาความหวังไปผูกติดไว้กับกฎระเบียบแม้แต่กฎหมายซึ่งยังอยู่ในระดับที่ไม่ลึกซึ้งถึงรากฐานความจริง ย่อมมีโอกาสผ่านไปรู้ได้ถึงเหตุและผลที่อยู่ในรากฐานคนช่วยให้มองเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน จึงมีโอกาสมองเห็นแนวโน้มของวิถีการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีกว่า สังคมไทยกำลังมุ่งไปสู่เหตุการณ์ใหญ่และมีความสลับซับซ้อนมากกว่าเก่าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีใครผู้ซึ่งจริงใจต่อแผ่นดินผืนนี้พึงปรารถนาอย่างแน่นอนจึงใคร่ขอแสดงความรู้สึกมีส่วนร่วมกับทุกคนโดยฝากไว้ให้คิดว่า ถ้าใครเคยอยู่อย่างประมาท หลังจากได้รับบทเรียนผ่านมาถึงสภาพเช่นนี้แล้ว น่าจะสนใจมุ่งมั่นแก้ไขเริ่มที่ตนเองก่อนอื่น โดยเน้นการปฏิบัติร่วมกับชีวิตเพื่อนมนุษย์ในระดับพื้นดินและเยาวชนคนรุ่นหลังอย่างไม่ทอดทิ้ง หากทำจากใจจริงเพื่อหวังความสุขที่เกิดขึ้นจากรากฐานความรู้สึกของตนเองด้วย

ขณะที่ความทุกข์กำลังโหมหนักและอาจหนักมากขึ้น จงพิจารนาหาทางออกโดยใช้ความทุกข์ให้เกิดประโยชน์สูงสุก เพื่อหวังมองเห็นความสุขที่แท้จริงได้ในที่สุด ดังนั้นทุกสภาพซึ่งมุ่งเข้ามาหาช่วยให้ตนมีโอกาสสัมผัส ไม่ว่าจะทำให้รู้สึกว่าทุกข์หรือสุขก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งท้าทายต่อความสามารถที่จะทำให้มีสภาพเป็นกำไรชีวิตได้ทุกเรื่อง ดังเช่นคำสอนธรรมะซึ่งชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า “จงมองทุกสิ่งในแง่ดีอย่างถึงความจริงให้ได้”

บ้านระพี สาคริก พหลโยธิน 41 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900

ระพี สาคริก
4 สิงหาคม 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น