Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556
คนที่จะเป็นบัณฑิตต้องรู้จักคิดเป็น ระพี สาคริก
คนที่จะเป็นบัณฑิตต้องรู้จักคิดเป็น
ระพี สาคริก
( ปริญญาตรีเท่านั่นแหละครับ)
คุณที่รักทุกคน คุณชอบเรียกว่า “ดอกเตอร์ระพี” ผมฟังแล้วเบื่อเหลือเกิน เบื่อไปเบื่อมาในที่สุดก็เลยเขียนเรื่องที่ชื่อว่า “อย่าเอาป้ายดอกเตอร์มาแขวนคอผม” เพราะผมไม่ชอบสิ่งที่มันไม่เป็นความจริงจากใจตนเอง
คุณรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นเด็กดื้อรั้นมาตั้งแต่เกิด
เพราะผมไม่ฝืนใจไปเรียนเอาดอกเตอร์มาจากเมืองนอก
แต่คนที่กระหายจะไปเรียนต่อก็มักแอบว่าผมว่า “คุณระพีคงคิดถึงบ้าน” ข้อความประโยคนี้ในขณะนั้นเป็นข้อความที่มีคนแอบตำหนิกัน อย่างที่ฝรั่งเรียก Home Sick ซึ่งหมายถึงเป็นโรคจิตใจชนิดหนึ่ง
ผมขอรับสารภาพว่าเป็นความจริง ถ้าคนไทยไม่เป็นโรค Home Sick ก็คงทำให้บ้านเมืองเสียหาย เพราะเป็นคนไทยที่เกิดบนแผ่นดินผืนนี้แท้ๆแต่กลับไม่รู้จักบุญคุณของแผ่นดินใช่หรือเปล่า
ปรกติแล้วคนไปเรียนเมืองนอกจะมีสักกี่คนที่นึกถึงแผ่นดินไทย เพราะแท้จริงแล้วกลับมาจากเมืองนอกส่วนใหญ่ก็เลยทำงานแบบลงพื้นดินไม่เป็น
ทุกครั้งที่ได้ยินคนไทยพูดคำว่า “บัณฑิต” มันทำให้ผมรู้สึกอยู่ในใจเสมือนใครเอาไฟมาจี้
คนที่ควรได้รับการเรียกว่า “บัณฑิต” ได้อย่างภาคภูมิใจนั้น ส่วนใหญ่จะต้องเป็นคนที่มีความฉลาดและความเฉลียวอันหมายถึงคนที่รอบรู้วิชชา น้องๆนักปราชญ์นั่นแหละครับ แต่นี่ทำไมเรียนจบหลักสูตรเพียงไม่กี่ปี แถมยังให้คนอื้นเขามาสอนด้วย เราควรเรียกว่าบัณฑิตหรือไม่
เพราะคำว่าบัณฑิตนั้นตามภาษาโบราณของคนไทยหมายถึงผู้ที่มีคุณงามความดีเป็นผลอย่างประเสริฐแล้ว หาใช่จับคนใส่โหลแล้วก็เรียกว่าบัณฑิตไม่
นี่แหละครับที่อาจเรียกได้ว่า “เป็นคำพูดที่เหมาจ่าย”
แม้ข้างนอกผมจะรับฟังได้และไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรทั้งนั้นก็เพราะผมเป็นคนมีนิสัยปล่อยวาง แต่ภายในจิตใต้สำนึกนั้นผมก็ไม่ค่อยรู้สึกจะเห็นด้วยกับการนำคำว่าบัณฑิตมาพูดพร่ำเพรื่อโดยไม่มีกรอบของคุณงามความดีเช่นที่สังคมเขานับถือ
ผมนึกถึงร้อยกรองซึ่งปราชญ์ในอดีตได้เคยลิขิตฝากไว้แด่ชนรุ่นหลังว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”ใช่หรือเปล่าครับ
นี่แหละเมื่อได้ยินคนพูดกันว่าเรียนจบปริญญาแล้วจะเป็นบัณฑิต ผมรู้สึกเหมือนหอกปลายแหลมทิ่มแทงหัวใจผมอยู่ทุกขณะ แม้ว่าภายนอกจะยอมรับเพราะวางเฉยได้ แต่ภายในมันเหมือนกับมีตัวอะไรมาถูกขังอยู่ในใจผมตลอดเวลา
ผมเรียนจบปริญญาตรีแล้วก็จริง แต่ตัวผมเองมีความคิดอยู่ว่าชีวิตคนเรานั้นหาใช่เรียนจบได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นผมจึงพูดถึงชีวิตที่ผ่านปริญญามาแล้วและนำมาวิเคราะห์ค้นหาเหตุผล ในที่สุดมันก็มีเสียงบอกกล่าวมาจากข้างในจิตใจตัวเองว่า “คุณอย่าพูดว่าจบนะ ถ้าคุณพูดว่าเรียนจบแล้วคุณจะถูกคนอื่นเขาพูดว่าคุณอยู่ในใจ”
เพราะการเรียนจบถ้าไม่ใช่ปราชญ์ที่คนเขายอมรับมันก็จะกลายไปเป็นการเย่อหยิ่งจองหองแล้วอวดตัวเองว่าเรียนจบ
คำพูดเช่นนี้เหมือนกับคุณเดินกระทบไหล่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเยซูเจ้า ซึ่งโลกใบนี้ก็มีไม่กี่องค์ที่เป็นรูปธรรม
เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ลืมว่าถ้าจะพูดถึงการเรียนจบ ผมก็ต้องพูกว่าเรียนจบหลักสูตร ไม่ใช่เรียนจบเฉยๆ
ก็เพราะผมเป็นเด็กดื้อนี่แหละจึงทำให้ตัวเองหลุดพ้นมาทีละเปราะอย่างเป็นช่วงๆ
แม้แต่ใครดุด่าว่ากล่าวผมก็คิดว่าเขากำลังให้พรผมแทนที่จะรู้สึกโกรธเคืองเขาซึ่งคำโกรธเคืองดังกล่าวมันมักจะมาจากคนลืมตัวเป็นส่วนใหญ่
ก็เพราะคนลืมตัวนี่แหละที่ทำให้เรียกตัวเองว่าเป็นบัณฑิต แทนที่จะพูดว่าเรียนจบหลักสูตรเท่านั้นก็พอแล้ว
เพราะฉะนั้นการที่ผมพูดว่า “เรียนจบหลักสูตร” นั้นเกิดจากความพร้อมภายในจิตใจที่ไม่ลืมความจริง
ซึ่งแน่นอนเหลือเกินที่คนมีนิสัยไม่ลืมความจริงทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมสามารถก้าวผ่านอุปสรรคมาได้เป็นช่วงๆ
แต่ถ้าถูกเรียกว่าเป็นบัณฑิตแล้วภายในจิตใจของผมคงต้องรู้สึกไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
เว้นไว้แต่ว่าผมเป็นคนถือขันติธรรม ไม่ว่าใครจะดุด่าหรือต้องการยกย่องให้ผมขึ้นไปอยู่ที่สูง ผมถืออย่างเดียวว่ามันเป็นเรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เองมันเป็นธรรมดาของมนุษย์ผู้รู้จริงได้ทุกเรื่อง
บ้านระพี สาคริก พหลโยธิน 41 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ระพี สาคริก
27 กรกฎาคม 2556 — ที่ บ้านระพี สาคริก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น