แท้จริงประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด ประเทศสหรัฐอเมริกาเคยประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงเมื่อปี 1929 รู้จักกันในชื่อ The Great Depression ช่วงดังกล่าวดัชนีดาวโจนส์ตกลงประมาณ 89 เปอร์เซ็นต์ ช่วงนั้นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆ ของโลก ไม่ได้มีรูปแบบที่หลากหลายเช่นทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นธุรกรรมซื้อขายของภาคการผลิตจริง ความเสียหายจึงอยู่ในวงแคบ ไม่เหมือนทุกวันนี้ มีเรื่องของการซื้อขายกระดาษ คือการซื้อขายของในตลาดหุ้น และตลาดสินค้าล่วงหน้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดซื้อขายสินค้าจริงมาก เช่น การซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) มีขนาดใหญ่กว่าการซื้อใช้ทองคำจริง 8-9 เท่าตัว
ธุรกรรมการซื้อขายกระดาษ ไม่ต้องมีที่ดิน ไม่ต้องโรงงาน ไม่ต้องมีโกดังเก็บสินค้า ไม่ต้องมีคนงาน ไม่ต้องมีการขนส่ง นั่งทำธุรกรรมที่หน้าคอมพิวเตอร์ ห้องแอร์ สามารถกดคีย์บอร์ดคำสั่งซื้อขายกระดาษในรูปแบบต่างๆไปได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง รับจ่ายเงินก็ทำผ่านบัญชีของสถาบันการเงินของผู้ซื้อ-ผู้ขาย
ปี 2000-2002 ตลาดแนสแดกซ์ตกลงแรง 78 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐตกลงตามตลาดหุ้น http://yfrog.com/h3fofz4j ทำให้มีการขายหุ้น ขายสินทรัพย์ในอเมริกา ขนเงินมาลงทุนนอกอเมริกา ทำให้ทุนสำรองประเทศต่างๆ สูงขึ้น โดยเฉพาะทุนสำรองของประเทศจีน พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก เวลาเดียวกัน ทุนสำรองของประเทศไทยก็พุ่งสูงขึ้น จนสามารถนำไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดก่อนกำหนดในเดือนกรกฎาคม 2003 ที่อดีตนายกฯ ทักษิณแอบอ้างว่าเป็นฝีมือของเขา
เงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น คนไม่ถือเงินเหรียญสหรัฐ และสินทรัพย์ในรูปเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินไหลออกจากอเมริกา ทำให้สภาพคล่องเสียหาย ทำให้ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงเสียหาย เช่น Subprime ฯลฯ ล้มละลายและเกิดหนี้เสีย รัฐบาลอเมริกันต้องเข้าไปอุ้ม ทำให้เกิดหนี้สาธารณะสูงขึ้น หลังปี 2000 หนี้สาธารณะเพิ่มแรงและเร็ว โดยเฉพาะปี 2008 - 2010 เพดานหนี้เพิ่มทุกปีhttp://yfrog.com/kl5c23j
ตอนนี้ทางทำเนียบขาวกำลังหาทางออกกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้อีก 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้พอใช้หนี้ไปจนถึงปี 2012 ที่จะมีการเลือกตั้งสมัยหน้า แต่ทางวุฒิสมาชิกเสนอให้ลดการเพิ่มเพดานหนี้ แล้วก็ให้ตัดลดงบประมาณรายจ่าย 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐใน 10 ปี
วันที่ 2 สิงหาคม 2554 นี้ สรุปผลเรื่องหนี้ของอเมริกาจะออกมาแบบไหนอย่างไร ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ตลาดหุ้นคือต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเกิดวิกฤตรุนแรงมา 2 ครั้งแล้ว และทำเศรษฐกิจ-สังคม-การเมืองของอเมริกาเสียหายต่อเนื่องตลอด 82 ปีที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ทำเงินเฟ้อโลกสูงขึ้น http://yfrog.com/kf7e01j
ความเสียหายทางเศรษฐกิจของอเมริกา ยุโรป และประเทศต่างๆ มีต้นเหตุมาจากเรื่องเดียวกัน มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดหุ้นคืออบายมุขกองโตที่สุดในโลก ก่อความเดือดร้อนไปทั่วโลก ทำให้โลกยากจนลง ให้โลกมีตลาดเงินตลาดเดียวก็พอแล้ว
เมื่อโลกไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ปัญหาก็ยังคงอยู่ ประชาชนโลกจะพบกับความเดือดร้อนที่รุนแรงขึ้น เดือดร้อนจากเงินเฟ้อ หรือค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
indexthai2@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น