Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ประสบการณ์ทางทำ
ในช่วงที่ผู้ขียนอยู่ในวัยฉกรรจ์ที่มีความรู้ความสามารถพอที่จะผาดโผนในการทำงานไปทั่วประเทศไทยได้ ภายหลังที่สะสมประสบการณ์จากทำงานหนักมานานกว่าสิบปี ไปเหนือร่องใต้อย่างไม่เกรงใจตนเอง
ขึ้นชื่อว่าเป็นวาน...ไปหมด จนตัวเองก็ตอบให้ใครฟังไม่ได้ว่าทำงานอะไร ที่ไหนอย่างไร เพราะมันเยอะมาก แม้กระทั่งในช่วงชีวิตหนึ่งรับผิดชอบงานทีเดียวพร้อมกันมากกว่าสิบบริษัทฯ ทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ายันตีสองของทุกวัน แต่งานก็ค่อนข้างจะราบรื่นไม่น้อย เรียกว่าสำเร็จไปกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของงานทั้งหมด
ในวัยนั้นผู้เขียนเป็นคนที่คิดสุขุม แต่คิดเร็ว อีกทั้งยังตัดสินใจเร็วมาก
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเราประชุมกันที่โรงแรมปรินซ์เซส หลานหลวง ในเวลาช่วงค่ำประมาณหนึ่งทุ่มกระมัง ทีมงานมาสรุปปัญหาเรื่องงานกันว่า พวกเราเจออุปสรรคใหญ่และมาถึงทางตันแล้ว ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร แต่ผู้เขียนได้พูดขึ้นว่าถ้าพวกเราอยู่กลางซอยจะวิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งไปข้างหลังก็ยังได้ ทางมันยังไม่ตันเลย พวกเรามัวแต่กีดขวางทางเดินของตนเองกันอยู่อย่างนั้น...ด้วยความคิด จากนั้นผู้เขียนก็ขอตัวเข้าห้องน้ำ พอออกมาก็มาสรุปแนวทางแก้ไขปัญหาให้ผู้ร่วมงานทั้งหมดโดยแจ่มแจ้ง
ในระหว่างนั้น มีนักการเมืองอยู่ท่านหนึ่งเดินเข้ามาหาที่โต๊ะ ยื่นนามบัตรแนะนำตัวมาให้ผู้เขียน แล้วบอกว่าอยากคุยด้วย ผู้เขียนจึงลุกไปคุยด้วยที่โต๊ะ ของเขา จึงทราบว่าเขานั่งฟังสิ่งที่พวกเราคุยกันอยู่ทั้งหมด เขาบอกว่ามีงานให้ทำ ถ้าว่างให้โทรฯหาเขาตามนามบัตรที่ให้มาแล้ว ผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ เดินจากมา กลับมานั่งที่โต๊ะของผู้ร่วมงาน และแอบฉีกนามบัตรของนักการเมืองผู้นั้นทิ้งใต้โต๊ะ
ในช่วงเวลานั้นสิ่งที่ผู้เขียนใช้เป็นการพักผ่อนนอกจากการนอนหลับแล้วก็คือการฟังเทศน์และอ่านหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย รวมทั้งประวัติและการปฏิบัติธรรมของท่าน มันทำให้ใจมีกำลังสู้ขึ้นมาก แม้กระทั่งการทำสมาธิก็อ่านจากหนังสือ แต่ยังไม่ค่อยได้นั่งสมาธิสักเท่าไร เพราะมัวแต่วุ่นเช้ายันเย็น
จาการเดินทางในงานบ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนนั่งรถฮอนด้า แอ๊คคอร์ดรุ่นแรกจากสนามบินสุราษฏร์ธานีจะไปโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่กระบี่ ด้วยความเร็วประมาณ 110 กม./ชม. ขณะกำลังนั่งฟังสรุปงานในรถจากผู้จัดการโรงงานอย่างเพลิดเพลิน ก็มีรถกระบะใหม่คันหนึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงเท่าไรจับค่าความเร็วไม่ได้สวนทางมา คนขับรถของเราสติดีขับรถวิ่งหลบและชะลอความเร็วเข้าสู่ข้างทาง ถ้าไม่ทำเช่นนั้นคงได้มีคนไปเกิดใหม่กันหลายคนแล้ว
หลังจากนั้นคนขับก็เอารถวิ่งเข้าสู่ปั๊มน้ำมัน เพื่อเติมเชื้อเพลิงต่อไป ผู้เขียนเกิดอยากนั่งสมาธิขึ้นมาก็เลยว่ากันบนรถนั่นเลย จนชั่วขณะหนึ่งที่ยาวมากและเย็นมาก นานจนรู้สึกว่านาน เปลือกตามันเป็นสีเหลืองไปหมด แต่รู้สึกอิ่มอย่างบอกไม่ถูก กำลังกายดูเหมือนเพิ่มขึ้นมาอักโข เหมือนได้นอนเต็มอิ่ม หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แต่มาดูนาฬิกา เวลาเพิ่งผ่านไปเพียง 15 นาทีเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามก็ยังรู้สึกอิ่มอยู่อย่่่างนั้น
และในเย็นวันหนึ่งในขณะที่ผู้เขียนไปนั่งรอภรรยาเพื่อรับกลับบ้าน จากที่ทำงานของเธอ นั่งรออยู่นานหลายชั่วโมง ระหว่างนั้นผู้เขียนได้นั่งอ่านหนังสือ ธรรมะของหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดป่าอรัญญวิเวก จนมาถึงตอนหนึ่งที่ว่าของทั้งหลายไม่ใช่ของเราให้ปล่อยทิ้งไป ตอนนั้นผู้เขียนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก เรียกว่าโล่งอกทีเดียว และที่ประหลาดคือได้เห็นแสงสว่างเหมือนไฟนีออนเปิดขึ้นในรถที่มืดเกือบสนิทภายในรถ
ภายหลังจากวันนั้นไม่นานผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเชียงใหม่กับน้องๆและครอบครัว และได้มีโอกาสได้ไปกราบหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโปเป็นครั้งแรก ที่วัดป่าอรัญญวิเวก เพราะสำนึกในคำสอนของท่าน
ตอนที่ท่านมาพบพวกเรา ท่านก็นั่งต่อหน้าผู้เขียนและหมู่คณะ แล้วท่านก็ถามผู้เขียนอย่างเจาะจงว่า ไฟฉายถ้าส่องจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯมันสว่าง แต่ไฟฉายจากกรุงเทพฯส่องมายังเชียงใหม่มันไม่สว่างเพราะมันไม่ถึงใช่ไหม เหตุเพราะไฟมันไม่พอ เข้าใจไหม เนื่องจากถ่านมันไม่มีไฟพอ
แล้วหลวงปู่ที่ดูหน้าตาผิวพรรณเหมือนคนอายุสามสิบปี แต่ตอนนั้นท่านอายุเกินกว่าหกสิบปีแล้ว ก็นำรูปที่มีแสงสว่างวูบวาบมาแจกจ่ายให้กับพวกเราผู้เดินทางไปในครั้งนั้นคนละรูปสองรูป และผู้เขียนมาเข้าใจเองที่หลังว่า ถ่านไฟฉายนั้นคือกำลังของจิต ที่ต้องฝึก หากยังเป็นคนไม่เอาถ่าน
การเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนั้น ได้เดินทางมาที่วัดพระธาตุเจดีย์หลวงที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นที่สัปปายะหรือดี มีเทวดาดูแลมากมาย ร่มเย็น เป็นที่พระสายวัดป่าของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตมาจำพรรษากันมาก ที่วัดแห่งนี้ผู้เขียนได้พบพระหนุ่มรูปหนึ่งอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปีชื่อหลวงพี่กระทิง ท่านแบก กลดเดินธุรดงค์จนไหล่ทรุด รักษาที่โรงพยาบาลสวนดอกหลายครั้งแล้ว ก็ไม่ดีขึ้น จนท่านประกาศว่าจะเลิกรักษา
ผู้เขียนจึงนิมนต์ท่านมารักษาที่กรุงเทพฯ โดยจะเป็นธุระจัดการให้ แต่ท่านปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า จะขอตายในกลดจากการเดินธุดงค์ แล้วท่านก็ขอตัวไปหยิบของ
หลังจากนั้นท่านก็นำพระเลี่ยมกรอบเรียบร้อยมาองค์หนึ่งยื่นให้กับผู้เขียนเพียงคนเดียว จากหมู่คณะทั้งหมด ท่านบอกว่าของนี้เป็นของโยมมารออยู่นานแล้วเป็นพระสมเด็จรุ่นทรงพรหมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแกนอก ซึ่งเป็นพระแบบเดียวกันกับที่พี่ไพบูลย์ เจ้าของแผงหนังสือที่เทเวศร์ห้อยคออยู่ พระสมเด็จที่พี่ไพบูลย์ห้อยคออยู่แปลกกว่าใครๆก็คือพระสมเด็จที่พี่ไพบูลย์ห้อยอยู่ มีพระธาตุเสด็จเต็มไปหมด คงจะเป็นเพราะอานิสงห์และผลบุญที่พี่ไพบูลย์ชอบทำบุญอย่างเข้มแข็งมาก เห็นเช่นนั้นผู้เขียนจึงอยากได้พระสมเด็จของหลวงปู่ดู่บ้าง และก็ได้มาในที่สุด
กลับมาจากเชียงใหม่ ผู้เขียนเห็นหลานชายนั่งอยู่ตรงหน้าบ้าน ก็เลยมอบพระสมเด็จองค์นี้ให้เขาไปห้อยคอ พร้อมกำชับว่าอย่าถอดออก ให้หลังจากนั้นมาประมาณเดือนหนึ่ง หลานชายคนนี้ก็นำรถเก๋งไปชนกับรถมอเตอร์ไซด์ จนรถพังยับไปหมดทั้งคัน เหลือแต่ซาก ทางคู่กรณีบาดเจ็สาหัสหนึ่งและตายคาที่หนึ่ง แต่ตัวหลานชายของผู้เขียนไม่เป็นอะไรเลย ทุกวันนี้พระสมเด็จองค์นั้นก็ยังอยู่ที่คอเขาไม่ได้ไปไหนเลย
ในตอนที่พวกเราจะขึ้นเชียงใหม่ในครั้งนั้น ผู้เขียนและภรรยาได้มโอกาสไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระสุปฏิปันโนสายวัดป่าที่อาพาธ เพราะอายุขัยเยอะแล้ว ด้วยความเคารพและซาบซึ้งใจในปฏิปทาของหลวงปู่ที่โรงพยาบาลศิริราช และในคืนก่อนเดินทางกลับจากเชียงใหม่ ผู้เขียนได้ฝันไปว่าฟันหลุดจากปากหมดเลยในตอนใกล้รุ่ง ตอนนั้นนึกถึงแต่คุณแม่ผู้ชราที่อยู่บ้านว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แต่พอบินกลับมาถึงกรุงเทพฯคุณแม่ยังแข็งแรงดีมาก จนตอนสายภรรยาได้มาบอกว่าหลวงปู่ชอบ ท่านได้ละสังขารแล้ว ทำเอาผู้เขียนน้ำตาซึม เพราะจิตยังไม่แข็งแรง
หลวงปู่พุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน ท่านจะมาฉันเช้าวันเสาร์ที่บ้านน้องกุ้ง น้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง โดยมีหมายกำหนดการว่าจะฉันประมาณหกโมงเช้าและจะออกจากบ้านของน้องกุ้งในเวลาไม่เกินแปดโมงเช้าในวันเดียวกันนั้น ดูเหมือนหลวงปู่จะติดนิมนต์ไปบ้านลูกศิษย์อีกแห่งหนึ่ง
รถของผู้เขียนมีปัญหา สต๊าร์ทไม่ค่อยติด ภรรยาไม่ค่อยสบาย แถมยังต้องส่งลูกชายไปเรียนพิเศษอีกในเช้าวันเสาร์นี้ จู่ๆน้องสาวภรรยามาจากไหนก็ไม่รู้และรับอาสาพาหลานชายไปส่งที่เรียนพิเศษ ภรรยาอาการก็เริ่มดีขึ้น แต่รถต้องค่อยๆขับไปที่อู่
กว่าจะไปถึงบ้านน้องกุ้งได้ ก็เก้าโมงเช้าพอดี นึกว่าหลวงปู่เดินทางจากไปแล้ว แต่พอไปถึงก็เห็นหลวงปู่นั่งยิ้มอยู่ โชคดีที่ได้กราบท่าน พอกราบเสร็จท่านก็พูดว่าเอ๊ามาครบกันแล้ว จะแสดงธรรมให้ฟังละนะ ผู้เขียนขนลุกจนบอกไม่ถูก และได้กราบหลวงปู่เป็นอาจารย์ เพียงแต่ลูกศิษย์คนนี้ยังไม่เอาไหนเลยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
ก่อนจะจบบทความตอนนี้ ผู้เขียนก็ได้เปิดเว็บโหลดพระธรรมเทศนา แล้วก็เจอพระธรรมเทศนาของหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโปพร้อมประวัติของท่าน เมื่อเช้าวันนี้อย่างไม่คาดฝัน เพราะเคยนั่งดูมากว่าสองปีแล้วในเว็บนี้ ไม่เคยเจอเลย
ตอนนี้ท่านชราภาพมากแล้ว แต่หากดูรูปหลวงปู่ที่แนบมาให้ ท่านยังดูหนุ่มกว่าอายุมาก เชื่อในธรรมของท่านจริงๆครับ กับวัยเจ็ดสิบแปดปี ห้าสิบสองพรรษาของท่าน ขอกราบหลวงปู่ผ่านบทความนี้ตรงนี้เลยครับ ขอให้หลวงปู่แข็งแรง เป็นเนื้อนาบุญของพุทธบริษัทนานเท่านาน หลานที่เป็นผู้เขียนแก่นธรรมตอนนี้ยังโง่เขลาอยู่มาก ถ่านไฟฉายยังไม่มีไฟไปถึงไหนเลยครับหลวงปู่
คนไม่เอาถ่าน
บรรยากาศสงกรานต์อ่านเรื่องเบาๆกันบ้าง ความจริงผู้เขียนเองก็มีประสบการณ์กับหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญอยู่นิดหนึ่ง แม้จะไม่เคยเจอตัวท่านเองก็ตาม
มีอยู่ว่านั่งทานกาแฟกับหมู น้องที่ทำงานด้วยกันในค๊อปฟี่ช๊อปข้างบ้าน แล้วมีเต๊งเพื่อนตั้งแต่วัยเยาว์ของหมูซึ่งทำงานอยู่ที่กรมสรรพากรมานั่งด้วย ผู้เขียนมองหน้าเต๊ง แล้วอยู่ๆก็ถามเขาว่าไม่หนักคอบ้างหรือ เต๊งก็ถามว่าทำไมครับพี่
ผู้เขียนก็บอกไปว่าก็ห้อยพระตั้งร้อยกว่าองค์นี่นะ จากนั้นเต๊งก็ล้วงสร้อยคอออกมา แถมบอกว่ามีพระอยู่ร้อยกว่าองค์จริงๆ ทำเอาผู้เขียนกับหมูถึงกับอึ้ง เพราะนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มวัยประมาณยี่สิบเจ็ดปีจะห้อยพระจำนวนมากขนาดนี้ แล้วเต๊งก็ถอดพระองค์หนึ่งจากสร้อยคอ เป็นรูปหล่อแบบพระพุทธรูปองค์เล็กที่งามมากมอบให้กับผู้เขียน โดยบอกว่าเป็นของหลวงปู่ดู่ วัดสะแกนอก ที่หลวงปู่ท่านเคยเอ่ยปากว่าพระที่ท่านจัดสร้างไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน ทุกวันนี้พระองค์นั้นท่านก็ยังอยู่ที่สร้อยคอของผู้เขียน แต่ที่สำคัญอย่าลืมการปฏิบัติธรรมประจำวันกันนะครับ ธรรมะสวัสดี
สะมะชัยโย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น