++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขอแสดงมุทิตาจิตกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และขอบคุณที่ไม่มีเสื้อแดงใน ครม. โดย ว.ร. ฤทธาคนี

หาก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย มิใช่เป็นน้องสาวของทักษิณแล้วจะรู้สึกปลาบปลื้ม ชื่นชม และดีใจอย่างลิงโลด ที่ประเทศเรามีนายกรัฐมนตรีหญิง อันเป็นการแสดงให้โลกเห็นว่าสังคมไทยมีอารยธรรมและขจัดวัฒนธรรม “บุรุษเป็นใหญ่” ออกจากสารบบแล้ว

ที่ยังมีความกังขาก็เพราะว่า “เธอ” จะเป็นตัวของตัวเองได้สมบูรณ์แบบมากน้อยเพียงใด หรือเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่พูดได้ เขียนได้แค่นั้นหรือ เพราะหากจะต้องฟังคำบัญชาจากทักษิณ พี่ชายแล้ว “ลัทธิบุรุษเป็นใหญ่” ก็ยังเป็นเงาหลอนสังคมไทยอยู่ดี และหลอกหลอนคนที่ไม่ศรัทธาพฤติกรรมโกงชาติของเขา

อย่างไรก็ดี นายกฯ ยิ่งลักษณ์จัดคณะรัฐมนตรีชุดที่ 60 ของประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญให้บริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2554 แต่ไม่พบรายชื่อแกนนำหรือบุคคลในระดับแม่ทัพของคนเสื้อแดงในคณะรัฐมนตรี ก็รู้สึกใจชื้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะบุคคลอย่าง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย สมาชิกอาวุโสคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย และยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ต้องการสร้างภาพให้กับตัวเองถึงขนาดกล้ากล่าวปราศรัยในเชิงเปรียบเทียบความล้มเหลว และการหมดอำนาจของราชวงศ์โนมานอฟแห่งรัสเซีย ค.ศ. 1917 รวมทั้งความหายนะแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ในเนปาล จนสื่อให้สมญานามว่า “เสื้อแดงโรมานอฟ” หรือรองประธานโรมานอฟ

คิดว่าผลพวงนี้น่าจะทำให้กลุ่มเสรีนิยมและเดินสายกลางในพรรคเพื่อไทย รวมทั้งกลุ่มทุนของพรรคต่อต้าน พ.อ.อภิวันท์ ซึ่งเห็นได้จากการที่ไม่สนับสนุนให้เข้าชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะตำแหน่งนี้เป็น 1 ใน 3 ของประธานอำนาจอธิปไตยแห่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นอำนาจคานกันตามระบอบประชาธิปไตยที่ใช้รัฐสภาเป็นเครื่องมือนิติบัญญัติ และตรวจสอบฝ่ายบริหาร

ประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่ทำหน้าที่เป็นกลางในสภาผู้แทนราษฎร และเป็นบุคคลที่ต้องรับสนองพระบรมราชโองการเกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ ที่สภาผู้แทนราษฎร หรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้นำเสนอและพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยให้มีผลบังคับใช้

นอกจากนี้แล้วไม่มีชื่อนายเหวง โตจิราการ แกนนำอนาธิปไตยเสื้อแดง อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ซีกซ้าย ที่เริ่มแรกต่อต้านทักษิณ แต่ต่อมากลายเป็นแกนนำเสื้อแดงที่มีแนวคิดโน้มนำเป็นอนาธิปไตยไม่เอาสถาบันอะไรเลยเป็นแก่นสาร นอกจากกลุ่มตนเอง ซึ่งเห็นได้จากแนวคิดของเขาในหนังสือ “ป่าแตก” รวมทั้งไม่มีชื่อกลุ่มจตุพร พรหมพันธุ์ หรือณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไปมีส่วนในคณะรัฐมนตรี

ปรากฏการณ์นี้เป็นแนวคิดของทักษิณหรือไม่นั้นไม่มีใครรู้ นอกจากตัว นางสาวยิ่งลักษณ์ เอง หรือกลุ่มที่ใกล้ชิดกับทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หรือกลุ่มนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือเป็นแนวคิดจากกลุ่มผู้มีประสบการณ์การเมือง ที่มองว่าหากนำเอากลุ่มคนเสื้อแดงเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ในการบริหารประเทศแล้ว เป็นการสร้างความแตกแยกมากกว่าปรองดอง เพราะคนหลายกลุ่มไม่ต้องการ รวมทั้งชาวบ้านร้านตลาดและทหารที่เสื้อแดงสร้างความเจ็บปวด เมื่อใช้อาวุธถล่มพวกเขาจนเสียชีวิต และสร้างความเสียหายไม่สามารถทำการค้าขายได้เป็นเดือนๆ

แต่ที่สำคัญ หากแกนนำเสื้อแดงเข้ามามีอำนาจรัฐอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว นางสาวยิ่งลักษณ์ก็อาจจะควบคุมไม่ได้ แต่หากอยู่นอกอำนาจเป็นแค่กลุ่มการเมืองนอกสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีก็ควบคุมได้ด้วยกฎหมายและกฎของพรรค

ที่ต้องกล่าวเช่นนี้เพราะว่าแกนนำเสื้อแดงโดยเฉพาะนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจที่ถูกทอดทิ้ง และอ้างบุญคุณของคนเสื้อแดงว่า “ได้สละชีพ” เพื่อพรรคเพื่อไทย ต่อต้านอำมาตย์เพื่อพรรคเพื่อไทย ทั้งยังได้โจมตีเป็นนัยๆ ว่า รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เองก็ได้รับอิทธิพลจากระบบอำมาตย์ถึงตั้งรัฐบาลได้

สังคมคงจะต้องจับตาดูว่า แกนนำอนาธิปไตยเสื้อแดงจะดำเนินการอย่างไรกับคณะรัฐมนตรีชุดที่ 60 นี้ เพราะหลายคนมิได้เป็นเสื้อแดงหรือไม่มีแนวคิดอนาธิปไตยเสื้อแดง พวกอกหักจะเรียกร้องบำเหน็จรางวัลตามที่พวกตนคาดหวังหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องติดตาม

คณะรัฐมนตรีชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้รับพระราโชวาทที่ทรงรับสั่งในวันที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ที่มีความสำคัญยิ่งสองประเด็น คือ ให้ซื่อสัตย์สุจริต และให้เกิดความสงบสุข

ทั้งสองประการจึงเป็นเสมือนทิศทางที่นางสาวยิ่งลักษณ์ จะต้องทำให้ได้ เพราะประการแรกนั้นพี่ชายตนเองประสบความล้มเหลวมาแล้วและยังต้องโทษอยู่ และขออย่าได้เป็นเหมือนพี่ชาย ซึ่งได้ลั่นวาจาไว้เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2544 ว่า

“แล้ววันนี้ คนที่บอกอาสามาเป็นรัฐบาล มาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐมนตรี มาเป็น ส.ส. มาเป็นวุฒิสมาชิก แล้วยังไม่ร่วมทำสงครามอย่างนี้ ก็ยิ่งกว่าทรยศเสียอีก” “ปราบคอร์รัปชัน และแบ่งงานกันทำ”

ความปรารถนานี้ล้มเหลวเมื่อนักการเมืองเล่นการเมือง การเมืองเป็นอำนาจ อำนาจก่อกิเลส กิเลสเป็นความโลภทั้งอำนาจและเงิน

เมื่อเกิดปรากฏการณ์ Vote No นั้น คนที่ Vote No เข้าใจถึงปรัชญานี้ และขณะนี้มีบุคคลการเมืองเกือบทั้งหมดที่เป็นรัฐมนตรียังอยู่ในกระแสการเมืองแบบเดิมๆ คือ การโกงกินตามน้ำเป็นเรื่องการเมือง จึงขอให้เลิกยึดติดความคิดอุบาทว์นี้เสีย

แต่บัดนี้เริ่มเห็นการคอร์รัปชันเกิดขึ้นแล้ว เมื่อมีการใช้อำนาจรัฐเบี่ยงเบนหลักการปกครอง บริหาร และบังคับบัญชาที่ขาดธรรมาภิบาล เพราะข้าราชการประจำหลายคนจะต้องถูกปรับเปลี่ยนออกจากตำแหน่ง หลักการเช่นนี้ควรต้องเริ่มบัดนี้มิฉะนั้นจะไม่มีวันเลิกได้เลย การคอร์รัปชันในภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายกว้างมาก ไม่ใช่เฉพาะแค่ทุจริต ฉ้อโกง เพียงอย่างเดียว แต่การบริหารขาดหลักธรรมาภิบาล ก็เป็นการกระทำเชิงคอร์รัปชันแล้ว

ในส่วนที่เป็นบวกของคณะรัฐมนตรีนี้ก็คือ กลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์ เช่น น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ที่ไม่ใช่เสื้อแดงเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์แรงกล้า ลงทุนลาออกจากนายทหารอากาศนักบินขับไล่ฝีมือเยี่ยม มีอนาคตสดใสในกองทัพอากาศ แต่อยู่ในแกนของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งครั้งหนึ่งสังคมคาดหวังว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์ความมุ่งมั่นทางการเมือง และอุดมการณ์สร้างสรรค์สังคมที่ดี ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยและความซื่อสัตย์ตั้งแต่ครั้งเข้าร่วมพรรคพลังธรรม จนเกิดสุดารัตน์ฟีเวอร์ในยุคนั้น การเมืองเป็นเรื่องบุญคุณหรือเปล่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก การเมืองเป็นเรื่องศรัทธาเฉพาะตัวบุคคล หรือเป็นเพราะอุดมการณ์ เป็นเรื่องที่เข้าใจยากเช่นเดียวกัน กระแสอำนาจทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่านั้นไม่มีใครรู้

รัฐมนตรี ธีระ วงศ์สมุทร เป็นอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เป็นคนเดียวที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นนักบริหารด้านการเกษตรและน้ำ ฝีมือดี และเป็นบุคคลที่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว จึงเชื่อว่าความตรงไปตรงมาของรัฐมนตรีธีระ ยังคงจะเป็นด้านบวกของคณะรัฐมนตรีคณะนี้อย่างแน่นอน

อีกด้านหนึ่งของคณะรัฐมนตรีคณะนี้ คือ เป็นโรงเรียนฝึกงานรัฐมนตรีให้กับทายาทนักการเมืองอย่างน้อยก็ 2 คน ที่พ่อส่งมาเพื่อสืบสานอำนาจและความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ลูก และวงศ์ตระกูล จึงหวังว่าการเป็นนักเรียนฝึกงานรัฐมนตรีนั้น จะไม่เป็นจุดดับของตัวเอง

สังคมไทยคงหวังว่าคณะรัฐมนตรีคณะนี้จะหลีกเลี่ยงเงื่อนไขที่ไม่สร้างความปรองดอง เช่น รังแกข้าราชการประจำ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณ ออกกฎหมายที่มีนัยเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง และกระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์

1 ความคิดเห็น: