++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จมเมื่อไหร...ชีวิตก็...จบเมื่อนั้น เรื่องเล่าจากสังฆะ



"พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียน นินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้" น้อยคนในสังคมเราสมัยนี้ ทำได้ แต่ถ้าเราทำมันได้ ไม่ว่าใครจะว่าเราอย่างไร หรือนินทาเราในเรื่องอะไรก็ตาม เราจะไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งเหล่านั้นและผ่านมันไปได้ ไม่มีใครไม่โกรธเมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้กับตัวเรา แต่ถ้าเรารู้ทัน และดับมันได้เร็วเท่าไหร เราจะผ่านมันไปได้เร็วเท่านั้น การจมอยู่กับอารมณ์ ไม่ช่วยให้เราดีขึ้น หรือเป็นสุขขึ้น มันกลับตรงกันข้าม ฉันก็เคยเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เมื่อเกิดเสียงรือเสียงเล่าอ้าง ฉันมักจะหาต้นตอของสิ่งเหล่านั้นว่ามาจากใคร ทุกครั้งที่ฉันทำแบบนั้น มักจะมาจากอารมณ์ทั้งสิ้น ฉันอยากเป็นอย่างพระโพธิสัตว์ และฉันพยามที่จะทำ ฉันพยามโกรธให้น้อยลง และจบกับอารมเหล่านั้นให้เร็วขึ้น แรกๆมันยาก แต่เมื่อเราทำอย่างเข้าใจ และเมตตา ตัวเราเอง ก็ทำได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นเกิดดับเร็วเหมือนรัดนิ้วมือ แต่มันใช้เวลาน้อยลง ฉันเข้าใจแล้วว่ายิ่งฉันจมกับอารมณ์ ฉันเองนั้นแหละที่ทรมานกับมัน บางครั้งอาจจะมีหลุดเผลอสติหย่อน แต่เมื่อตามทัน ฉันก็จะดับไฟนั้นทันที พ่อของฉันสอนเสมอว่า "ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทาว่าร้าย เพียงแค่เรา ปล่อยเสียงนั้นผ่านไปดั่งสายลม มันก็เหมือนลมที่ผ่านไปเท่านั้น " คุณพ่อบอกแบบนี้เสมอ เวลาที่ฉันเจอเหตุการณ์ และ จมอยู่กับมัน และท่านใช้มันในการดำรงชีวิต ทุกวันนี้ท่านมีความสุขกับการใช้ชีวิต ไม่ว่าท่านจะถูกนินทาว่าร้ายใดๆก็ตาม

การเปลี่ยนแปลงที่มากกว่า...


เคยคิดอยู่เสมอว่า “คนอย่างฉันจะทำอะไรได้ดีไปกว่าการตระเวนถ่ายรูปไปวันๆ และสังสรรกับเพื่อนฝูง” เพราะเด็กอายุ21อย่างฉัน ก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนนึงที่มีความรักในการถ่ายภาพ ที่คิดแค่ว่าถ้าฉันอยากมีความสุขก็แค่จับกล้องถ่ายรูปแล้วลั่นชัตเตอร์ ก็มีความสุขแล้ว แต่... นั่นคือความสุขที่แท้จริงในชีวิตอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นเพราะว่า เรายึดสิ่งของภายนอกมากกว่าใจของเราเอง ฉันเริ่มกลับมาดูตัวเอง และค้นหาความสุขที่แท้จริง จนวันนึง ฉันนอนอยู่ในห้องนอนเล็กๆภายในบ้านของฉัน ความคิดตอนนั้นเปลี่ยนแปลงฉันในทุกวันนี้ บางคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่ทำตามกระแส แต่นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆคนนี้ เพียงข้ามคืนฉันตัดสินใจขอ พ่อ-แม่ บวช ตามประสาของคนที่เป็นพ่อที่รู้จักลูกสาวของตัวเองเป็นอย่างดี คิดแค่ว่าลูกคนนี้คงแค่อยากทำอะไรสนุกๆเท่านั้น แต่เพียงได้เห็นลูกสาวของตนเองปลงผม เปลี่ยนชุดจากที่เคยเห็นทุกๆวันเป็นชุดแม่ชี ความคิดของผู้เป็นพ่อเปลี่ยนไป คำพูดสั้นๆหลุดออกจากปากผู้เป็นพ่อว่า “บวชไม่สึกก็ได้นะลูก” ฉันไม่รู้ว่าทำไมหรือเพราะอะไร แต่นั่นเป็นคำพูดที่ยังก้องเสมอ จากระยะเวลาที่เคยกำหนดไว้3เดือน จนกลายเป็นไม่มีกำหนดที่แน่นอน จากที่เคยคิดว่าชีวิตนักบวชก็แค่ทำวัตรสวดมนต์ กลายเป็นความสุขในการมีชีวิตแบบนักบวช หลายคนอาจจะเคยเห็นแม่ชีแบกกล้องเดินถ่ายรูปตามที่ต่างๆภายในสวนธรรมแห่งนี้ จากการถ่ายภาพแบบไร้จุดประสงค์ กลายเป็นจุดประสงค์เพื่อการได้เผยแพร่ศาสนา ทำให้แม่ชีที่อายุเพียง21ปีอย่างฉัน พบว่า นี่คือความสุขที่แท้จริง จากเมื่อก่อนที่เคยคิดว่าจับกล้องฉันก็มีความสุขแล้ว แต่ตอนนี้ความคิดนั้นเลือนหายไปจากสมองทั้ง2ซีก มีเพียงความคิดแค่ว่า ตื่นเช้ามาวันนี้ ฉันพร้อมจะทำอะไรเพื่อโลกบ้าง ฉันจะนำสิ่งที่ฉันรักช่วยเหลืออะไรโลกได้บ้าง เพราะตอนนี้ ความสุขของฉันไม่ใช่แค่เห็นภาพออกมาสวย แต่ความสุขของฉัน คือการนำสิ่งที่รักไปช่วยให้คนหลายๆคนมีความสุข ภาพหนึ่งภาพสามารถแทนความหมายได้มมากมาย ฉันอยากใช้สิ่งนี้บอกเล่าความสุขของฉันผ่านการกดชัตเตอร์ในแต่ละครั้งของทุกๆวัน...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น