++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

งี่เง่า



คำว่างี่เง่าไม่ทราบว่ามีต้นสายปลายทางมาจากไหน แต่มันแทนความหมายและความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกนักในบางครั้งได้ดี แต่รู้ว่าใช่
บางคนบอกว่างี่เง่าไม่ใช่โง่ อาจจะน้อยกว่าโง่ เมื่อนำไปเปรียบกับคำว่าโง่ในภาษาอังกฤษ
แต่หลายๆคนให้คำนิยามตรงกันในguru google.co.th ว่างี่เง่าหมายถึง
1.การที่อีกฝ่ายพยายามอธิบายเรื่องบางอย่าง ให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ผู้รับฟัง เข้าใจแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือเข้าใจไปอีกเรื่อง กับที่พูดไปเลย โดยที่ผู้ที่อธิบาย พยายามพูดแล้ว ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งขึ้นไป
คนที่รับฟังอยู่นั้นจึงเข้าข่าย "งี่เง่า" หรือแย่ไปกว่านั้นจะใช้คำว่า "โง่งี่เง่า"

2. เซ้าซี้ อยู่ในอาการส่วนหนึ่งของงี่เง่า ก็มีส่วน

เซ้าซี้ อาจจะใช้ในเหตุผลที่ดี(เพื่อตักเตื่อนคน งี่เง่า) แต่ก็ไม่เสมอไป
เซ้าซี้ กับเรื่องที่เคยพูดไปแล้ว เป็นบ่อยๆ ก็จะสามารถเรียกว่า "งี่เง่า" ได้ ถ้าหากอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่พูดไปนานแล้ว แต่คนที่บอก ยังพูดไม่เลิก

เซ้าซี้ ถ้าทำเป็นนิสัยตลอด สามารถเป็นส่วนหนึ่ง ที่เรียกว่า ประสาทแดก ได้
3. งี่เง่า - เรื่องมาก ไอ้นั่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่ดี ชวนทะเลาะเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ดีๆก็อารม ณ์เสียขึ้นมา บ่นนู่นบ่นนี่ ฯลฯ .... หลายๆอย่างรวมกันเป็น งี่เง่า เซ้าซี้ ก็เป็นซับเซ็ทของงี่เง่าด้วย ครับ
4.งี่เง่า คือ เด็กที่นอนไม่พอแล้วดื้อ
5. เซ้าซี้ คือ ขอเรื่องเดิมซ้ำๆจนกว่าจะได้หรือโดนไล่
งี่เง่าคือ การแสดงพฤติกรรมหรือการพูดจาโดยขาดการใช้สมองกลั่นกรองก่อนที่จะทำการนั้นๆและไม่มีเหตุผลเช่นคู่รักทะเลาะกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไร้เหตุผล
6.เซ้าซี้ อาการคือเมื่ออยากได้อะไรแล้วต้องเอาให้ได้หมือนเด็กอยากได้ของเล่นแล้วร้องจะเอาให้ได้ไม่ ฟังเหตุผลอะไรเซ้าซี้จนกว่ าจะได้
7.งี่เง่าเป็นคำสุภาพของคำว่า โง่....ครับ
ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว คนที่เรียกว่าเป็นคนงี่เง่าคือคนที่พูดอะไรด้วยแล้วไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องแต่ไม่สนใจ เพราะที่สนใจก็มีแต่ว่ากูจะเอาอย่างนู้น กูจะเอาอย่างนี้
คนอื่นฉันไม่สน จะเป็นอะไรก็เป็นไป ไม่ใช่เรื่องกูหรือ เรื่องของกู สุดท้ายสิ่งที่อยากได้ อยากมี อยากเป็น เมื่อมันไม่ได้ ไม่มี ไม่ได้เป็น ก็จะทุกข์แสนสาหัส เพราะตกอยู่ในโลกมืดแบบตาบอดตาใส เห็นความจริงเป็นสิ่งลวง และเห็นสิ่งลวงเป็นความจริง
ช่างน่าสงสาร ที่เขาเหล่านั้นตกอยู่ในกระแสทุกข์อย่างน่าเห็นใจ เปรียบประดุจกับบุคคลที่มองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงผิดไปจากความเป็นจริง ตกอยู่ในกระแส โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา
จนสุดท้ายหาทางออกไม่ได้ก็มีแต่อบายที่แปลว่าที่ๆหาความเจริญไม่ได้เป็นที่หมาย คือนรกภูมิ เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ และเดรัจฉานภูมิ อ่านแล้วขนลุกนะครับ นักปฎิบัติทั้งหลาย
คนงี่เง่าไม่ใช่เพิ่งจะมีกันในพอศอนี้เท่านั้น แต่มีมานานแสนนาน จนถึงสมัยพุทธกาลก็ยังมีให้เห็น ดังรายละเอียดต่อไปนี้ครับ
ในบรรดาพระภิกษุที่..ว่ายากสอนยากนั้น ไม่มีใครเกินพระฉันนะ
พระฉันนะหรือเดิมชื่อนายฉันนะ เป็นผู้ที่เกิดพร้อมเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด
ในยามที่เจ้าชายออกบวชก็ออกตามเสด็จพร้อมด้วยม้ากัณฐกะ จึงได้ชื่อว่าเป็น สหชาติ (ผู้เกิดในเวลาเดียวกันพร้อมกัน ) เพราะอย่างนี้..จึงได้หยิ่งทะนงตนเอง...ว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้า..มาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ค่อยยอมรับ..การว่ากล่าวตักเตือนจากพระรูปอื่น แม้พร ะพุทธเจ้าจะไม่เคยให้ท้ายเลยก็ตาม
พระฉันนะชอบด่า..พระอัครสาวกสองท่านคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ว่า...
"อันตัวเรานั้นเป็นผู้เดินทางไปพร้อมกับพระพุทธเจ้า.. ในคราวท่านออกผนวช
ส่วนพระสองรูปนี้..กลับเที่ยวประกาศตนว่า เป็นพระสารีบุตรบ้าง เป็นพระโมคคัลลานะบ้าง เที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอัครสาวก"
พระพุทธเจ้าทรงทราบ..ก็เรี ยกมาว่ากล่าว..ตักเตือน พระฉันนะก็นิ่งรับฟัง พอพระพุทธ เจ้าเสด็จไป ก็เริ่มด่าพระอัครสาวกอีก แม้พระองค์จะเรียกมาตักเตือนอีกจนถึงครั้งที่ ๓
ว่า.. พระอัครสาวกทั้งสองรูปเป็นกัลยามิตรที่ดี..เป็นผู้ประเสริฐ จงคบ..กัลยาณมิตรเพื่อนผู้ดี งาม..เช่นนี้เถิด
แม้กระนั้น..พระฉันนะได้ฟังโอวาทแล้วก็ยังไม่เชื่อฟัง..ยังคงด่า..พระอัครสาวกอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่ บรรดาพระภิกษุว่า...
ภิกษุทั้งหลาย!! ขณะที่เรายังคงอยู่..พวกเธอคง.. ไม่อาจอบรมสั่งสอนฉันนะได้
แต่เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว จึงจะสามารถทำได้ พระอานนท์..จึงกราบทูลถามว่า จะให้ทำเช่นไรต่อพระฉันนะ ?
พระองค์จึงได้ตรัสว่า.. ให้ ลงพรหมทัณฑ์ !!!..แก่ฉันนะ..
ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่ พระฉันนะ
พอพระฉันนะได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความทุกข์ขึ้นในใจ จิตใจเศร้าหมองเป็นลำดับ จนล้มสลบลงถึง ๓ ครั้ง
เมื่อฟื้นคืนสติ ก็ได้อ้อนวอนต่อคณะสงฆ์ว่า ....ขอท่านทั้งหลายให้โอกาสกระผมเถิด ว่าแล้วก็กลับตนประพฤติตนใหม่เป็นพระภิกษุที่ดี จนปฏิบัติธรรมได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
แม้ว่าการที่ท่านฉันนะจะหลงผิดในกิเลสใดๆไปบ้าง และถือว่าเป็นพวกสอนยากสอนเย็น แต่ท่านมิได้มีมิจฉาทิฎฐิหรือเป็นโมฆะบุรุษ ท่านเพียงแต่หลงตัวหลงตนไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง และไม่ได้เห็นผิดในธรรมที่พระบรมสาสดาท่านตรัสรู้และทรงสอนให้ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อสลัดละทิ้งความหลงผิดไปได้ ท่านจึงสามารถพลิกตัวพลิกตนกลับจากภิกษุงี่เง่าเป็นพระอรหันต์เจ้า ด้วยพระปัญญาคุณ พระเมตตาคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระปริสุทธิคุณของพระบรมศาสดา และบารมีธรรมของท่านฉันนะเองจึงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เจ้า
ท่านทั้งหลายที่เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย งี่เง่าเป็นโรคทางจิตวิญญาณ หากรู้ตัวว่าป่วย สามารถรักษาให้หายได้ โดยรักษาที่ใจของท่านเอง ให้มีสติรู้ว่าควรข่มใจ ประคับประคองใจ ทำใจให้ร่าเริงในธรรม และอุเบกขาในธรรมทั้งหลาย น้อมเข้าไปในอริยมรรค อริยผล ตลอดจนมุ่งไปสู่พระนิพพานเป็นที่หวัง
กระนั้นต้องลงมือฝึกใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะสวดมนต์เจริญภาวนา ตรึกธรรม หรือสอนธรรม ความหวังยังมี นิพพานะปัจจะโยโหตุที่แปลว่า ขอจงเป็นปัจจัยเพื่อพระนิพพานครับ เอวัง

ธรรมะสวัสดี
ผู้ใฝ่จิตตวิเวก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น