++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

ภัยแล้ง-น้ำท่วม...มหันตภัยของไทยทั้งชาติ!

โดย สิริอัญญา

ฤดูนี้เป็นเทศกาลหน้าแล้ง
และเป็นหน้าแล้งที่ร้อนจัดจ้าที่อุณหภูมิขึ้นสูงไปใกล้ 43
องศาเซลเซียสทุกทีแล้ว หากความร้อนพุ่งสูงขึ้นไปจากนี้
ความตายก็จะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน
ถึงวันนั้นหากจะรู้สึกสำนึกตัวก็คงจะสายเกินแก้แล้ว

อุณหภูมิความร้อนเพิ่มขึ้นปีละครึ่งองศาเซลเซียสต่อเนื่องมาหลายปี
เต็มที ทำให้ประเทศไทยของเราที่เคยร่มเย็นกลับร้อนแรงขึ้นและแรงขึ้น
กระทั่งกำลังใกล้ถึงจุดวิกฤตที่จะก่อพิบัติแล้ว

คนไทยทั้งประเทศไม่ว่าสีไหนๆ และไม่ว่าที่อยู่กันในภาคใดๆ
ควรจะได้ตระหนักถึงมหันตภัยนี้กันได้แล้ว

เมื่อ สองวันก่อนก็มีข่าวต่อเนื่องกันมาว่าจังหวัดหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือประชาชน
ป่วยไข้เพราะได้รับควันไฟที่เกิดจากไฟไหม้ป่าเข้าปอดมากเกินไป
ถึงกับต้องส่งโรงพยาบาลวันละกว่า 300 คน

นี่ก็เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของภัยแล้งและภัยน้ำท่วม
โดยเฉพาะคือเป็นผลสืบเนื่องที่คนเราทำขึ้นในเทศกาลหน้าแล้ง
จึงสมควรต้องกล่าวไปเสียในคราวเดียวกัน

เพราะเป็นเทศกาลหน้าแล้ง แผ่นดินก็แตกระแหง
ต้นหญ้าใบไม้โดยเฉพาะหญ้า 4 ชนิดคือหญ้าพง หญ้าแฝก และหญ้าแขม
รวมทั้งหญ้าคอมมิวนิสต์ แห้งกรอบเกรียมเป็นเชื้อไฟอย่างดี

เป็นเชื้อไฟอยู่ในพื้นที่ที่เป็นป่าโปร่งที่มีไม้มีราคาไม่ว่าจะเป็น
ไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้เต็งรัง หรือไม้มีค่าอื่นๆ
และเป็นเชื้อไฟที่อยู่ในพื้นที่ทุ่งโล่ง ครั้นต้องไฟก็เกิดไฟไหม้ป่า
แล้วเป็นควันคละคลุ้งปกคลุมทั่วทั้งภาคเหนือ
และเกิดเป็นอันตรายแก่สุขภาพอนามัยของประชาชนโดยไม่เลือกว่าเป็นคนสีไหน

ส่วน หนึ่งเกิดขึ้นจากนอกประเทศในแถบรัฐฉานที่คนในพื้นที่นั้นก็เหลวไหลไม่แพ้กับ
คนไทย จุดไฟเผาป่า แล้วไหม้ลามจนเกิดเป็นไฟไหม้ป่าขนาดใหญ่
เป็นควันไฟคละคลุ้งเข้ามาในภาคเหนือของไทย
ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยจะต้องเจรจากับรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยตามชาย
แดนให้ตระหนักถึงอันตรายและป้องกันแก้ไขเสีย

ส่วนในพื้นที่ของประเทศไทยนั้น เกิดไฟไหม้ป่าเพราะเหตุ 2 ประการ

ประการแรก เป็นการเผาเพื่อหวังเอาไม้จากป่ามาแปรรูปขาย
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเกิดจากการสมคบรู้เห็นเป็นใจกันระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่าย
ปกครอง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนายทุนที่โค่นป่า
เพื่อจะใช้เป็นเหตุผลในการตัดป่าโดยอ้างว่าต้นไม้ถูกไฟไหม้

ทำกันอย่างนี้มาเป็นอาจิณ จนแผ่นดินโล่งเลี่ยนและป่าไม้ก็ค่อยๆ
หมดไปจากประเทศไทยทุกที

ประการที่สอง
เป็นการเผาในพื้นที่โล่งที่มีหญ้าประเภทดังกล่าวปกคลุม
เกิดแต่เหตุทิ้งเชื้อไฟลงไปโดยไม่ประสงค์สิ่งใดบ้าง
เกิดแต่เหตุที่ต้องการเผาเพื่อล่าสัตว์ป่าที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่บ้าง
และเกิดแต่เหตุที่ต้องการเผาเพื่อให้บังเกิดหญ้าอ่อนหรือให้ต้นผักหวานแตกใบ
ใหม่เพื่อให้วัวกิน หรือเพื่อเอาใบผักหวานไปขายบ้าง

ทำกันอย่างนี้เป็นอาจิณ
จนแผ่นดินไหม้กรอบและปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารใดๆ ไม่ได้

แต่ ละปีๆ
ก็มีเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าแล้วก็มีการตั้งงบประมาณป้องกันไฟป่าและดับไฟป่ากัน
ตลอดมา แต่กว่างบประมาณจะออกไปใช้จ่ายได้ก็ล่วงเข้าเดือนพฤษภาคม
อันเป็นหน้าฝนแล้ว จึงเป็นอันว่าไม่ต้องใช้เงิน
แต่เงินก็หายไปพร้อมกับไฟป่าที่หายไปในหน้าฝน

นั่นก็เป็นเรื่องมหันตภัยที่เกิดจากภัยแล้ง
ในขณะที่พอเข้าเทศกาลหน้าฝนน้ำก็ล้นไหลบ่าหลากท่วมทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน
ลงมาถึงภาคกลางแล้วท่วมกรุงเทพฯ จากนั้นก็ไหลออกไปไล่น้ำเค็มสู่พระสมุทร

ถามว่าทำไมจึงเกิดภัยแล้ง? และทำไมจึงเกิดภัยน้ำท่วมเล่า?
สองเรื่องนี้เป็นปัญหาเดียวกันหรือว่าเป็นคนละปัญหากันแน่
แล้วจะแก้ไขกันอย่างไรก่อนที่ประเทศไทยจะถึงกาลพิบัติพินาศ

ก็ต้องตอบว่าทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกันและต้องแก้ไขพร้อมๆ
กัน คือแก้ไขตรงต้นเหตุเพราะเมื่อแก้ไขเหตุได้แล้วก็จะแก้ไขผลได้ด้วย

เหตุ ที่เกิดภัยแล้งก็เพราะไม่มีการกักเก็บน้ำไว้เสียตั้งแต่ในฤดูฝน
ครั้นฤดูฝนผ่านพ้นไปแผ่นดินก็แห้งแล้งแตกระแหง ทั้งคน ทั้งสัตว์
ทั้งพืชก็ไม่มีน้ำกินน้ำใช้ แล้วเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า
จนถึงวันนี้ก็ต้องประกาศเป็นเขตภัยพิบัติแล้วหลายสิบจังหวัด

ประกาศกันทีหนึ่งก็ขนน้ำไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านกันทีหนึ่ง
แจกกันตั้งแต่วัวควายสามารถดื่มกินน้ำได้
จนกระทั่งถึงวันนี้ที่จังหวัดพัทลุงก็มีวัวล้มตายวันละกว่า 300
ตัวเพราะไม่มีน้ำกิน
อีกไม่นานเท่าใดนักดอกก็อาจจะถึงเวลาที่คนไม่มีน้ำกินด้วย

แล้วไม่เคยคิดกันเลยว่าน้ำที่ขนกันไปนั้นต้นทุนมันแพงขนาดไหน
ทั้งๆ ที่พระเจ้าอยู่หัวก็เคยทรงเตือนมาหลายปีแล้วว่าน้ำราคาแพงและนับวันก็จะ
แพงกว่าน้ำมัน ดังนั้นน้ำที่ขนกันขึ้นไปช่วยชาวบ้านในขณะนี้จึงเป็นน้ำที่มีราคาแพง
และแพงกว่าน้ำมัน

แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีใครคิดกักเก็บน้ำเอาไว้เสียตั้งแต่ฤดูฝน
ปล่อยให้เหตุการณ์ภัยแล้งเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ
และต้องขนน้ำกันจ้าละหวั่นทุกปี
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินและราษฎรต้องเสียหาย
เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน

ส่วน น้ำท่วมเล่า
ก็เกิดจากเหตุที่เมื่อถึงเทศกาลหน้าฝนแล้วไม่มีการกักเก็บน้ำตามแหล่งน้ำ
ธรรมชาติ น้ำจึงไหลหลากลงมาอย่างสบายใจเฉิบ ท่วมดะไปหมดตั้งแต่ภาคเหนือ
ภาคอีสาน ลงมาภาคกลางและกรุงเทพฯ ไปออกทะเล

น้ำหลากไหลบ่าไปถึงไหน ภัยน้ำท่วมก็เกิดขึ้นถึงนั่น ถนนหนทาง
วัดวาอาราม ไร่นาสาโท บ้านเรือน
ทรัพย์สินราษฎรพินาศเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีแล้วปีเล่านับไม่ถ้วน

เมื่อถึงหน้าน้ำท่วมทีหนึ่งก็ประกาศเขตภัยพิบัติน้ำท่วมกันคราวหนึ่ง
แล้วก็เบิกจ่ายงบประมาณไปทำทำนบ
ทำเขื่อนทรายเพื่อกั้นน้ำกันจ้าละหวั่นกันไปทั้งแผ่นดิน

ความเสียหายของงบประมาณแผ่นดิน ตลอดจนชีวิต
ทรัพย์สินของราษฎรทั้งปวงที่เสียหายไปจากภัยน้ำท่วมแต่ละปีมีมากมายสุดจะคณา

เคย มีผู้ประมาณการเอาไว้ว่างบประมาณและค่าใช้จ่าย
ตลอดจนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติน้ำท่วมและภัยแล้งตกเป็นมูลค่าปี
ละไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท

มันเกิดขึ้นต่อเนื่องมานับสิบๆ ปี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายแค่ 10
ปีก็ตกเป็นเงินกว่า 2 ล้านล้านบาทแล้ว
มันมากมหาศาลถึงขนาดที่สร้างเมืองใหม่ได้หลายเมือง
แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอ่านแก้ไขให้มีผลอย่างถาวรเลย
ยังรักที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปปีต่อปี
จนกว่าความตายจะแผ่ปกคลุมทั้งแผ่นดินนั่นแล้ว!

หน้าแล้งก็แก้ปัญหาภัยแล้ง หน้าฝนก็แก้ปัญหาอุทกภัย
สลับกันไปจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่อาศัยธรรมชาติโกงกินกันไม่มีที่สิ้นสุด

รวม ความก็คือทั้งปัญหาภัยแล้งและปัญหาน้ำท่วมมีต้นเหตุที่ไม่มีการกักเก็บน้ำ
ไว้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งไม่สร้างแหล่งน้ำเพิ่มเติม
จึงทำให้น้ำไหลบ่าไปทิ้งทะเลเสียเปล่าๆ
พอสิ้นน้ำหลากก็เกิดความแห้งแล้งขึ้นในทันที
นี่คือสาเหตุมูลฐานที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อจะได้แก้ไขให้ตรงจุด

ประเทศไทยมีแหล่งน้ำใหญ่ 25 แหล่งน้ำ
มีสายน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ประมาณ 1,200 สาย
แต่ตื้นเขินหรือถูกถมทับไปเป็นอันมาก
จนไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้อย่างพอเพียงได้อีกต่อไป
และไม่ได้สร้างแหล่งน้ำใหม่เพิ่มขึ้นเลย
ทำให้ปริมาณน้ำในธรรมชาติที่กักเก็บไว้เหลือน้อยกว่าน้อยจนวิกฤต

เคยมีผู้ศึกษาตัวเลขปริมาณน้ำเฉลี่ยเปรียบเทียบกับสมัยรัชกาลที่ 5
ว่ามีแหล่งน้ำธรรมชาติกักเก็บน้ำไว้ได้โดยเฉลี่ยถึง 24,000
คิวบิกเมตรต่อคนต่อปี แผ่นดินยุคนั้นจึงเป็นยุคที่เรียกว่า "ในน้ำมีปลา
ในนามีข้าว" หน้าฝนน้ำก็ไม่ท่วมใหญ่ เพราะมีแหล่งน้ำธรรมชาติกักเก็บไว้
หน้าแล้งก็มีน้ำเหลือกินเหลือใช้ตลอดฤดูกาล

แต่ ปัจจุบันนี้ผู้คนมากขึ้น
แหล่งน้ำธรรมชาติถูกถมและตื้นเขินทั้งไม่สร้างแหล่งน้ำใหม่เพิ่มเติม
ปริมาณน้ำเฉลี่ยจึงเหลือแค่ 25 คิวบิกเมตรต่อคนต่อปี
ตรงนี้แหละที่เป็นชนวนวิกฤตของภัยพิบัติที่จะนำไปสู่วิบัติและพินาศแก่ราช
อาณาจักรที่รุ่งเรืองแห่งนี้ในอนาคตอันไม่ไกล

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก่อนเพื่อนก็คือการคืนธรรมชาติแก่แผ่นดิน
ขุดลอกฟื้นฟูแหล่งน้ำและสายน้ำธรรมชาติทั้งปวง
คืนธรรมชาติแก่แผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์ดังที่เคยเป็นมาเมื่อครั้งสมัยรัชกาล
ที่ 5

จากนั้นก็สร้างแหล่งกักเก็บน้ำธรรมชาติเพิ่มเติมโดยอิงกับสายน้ำและ
แหล่งน้ำธรรมชาติเดิมที่มีความเป็นไปได้
หรือสามารถทำเป็นแหล่งกักเก็บน้ำธรรมชาติได้
เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้มีสัดส่วนเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกับสมัยรัชกาลที่ 5

โบราณว่าน้ำเป็นที่ตั้งแห่งความมั่งคั่ง มีน้ำที่ไหน
มีความอุดมสมบูรณ์ที่นั่น ทำได้อย่างนี้ หน้าฝนน้ำก็จะไม่บ่าท่วม
ไม่เป็นอุทกภัย เพราะน้ำถูกกักเก็บไว้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ
ครั้นเข้าเทศกาลแล้งก็มีน้ำกักเก็บไว้ใช้อย่างเพียงพอ

ทำ กันทั้งประเทศก็คงใช้เงินไม่ถึง 500,000 ล้านบาท
เพื่อคืนธรรมชาติแก่แผ่นดิน ก็ย่อมดีกว่าที่จะต้องแบกรับความเสียหายปีละ
200,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยเพื่อไปสู่วิกฤตและวิบัติของทั้งชาติมากมายนัก.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000026511

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น