++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชักศึกเข้าบ้าน โดย วสิษฐ เดชกุญชร


ในการชุมนุมของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่กระทำเพื่อ ประท้วงและขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนามกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาว ชน กรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ที่ดินแดง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านไป นี้ ได้เกิดการปะทะกันขึ้นอย่างรุนแรงระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายตำรวจได้ใช้ ทั้งเครื่องยิงลูกระเบิดแก๊สน้ำตา ปืนยิงลูกกระสุนหัวยาง และฉีดน้ำผสมสีม่วง ส่วนผู้ชุมนุมก็ตอบโต้ ด้วยการขว้างปาสิ่งของใส่ตำรวจ ผลก็คือทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างเป็นจำนวนมาก

แต่ที่น่าเสียใจก็คือผู้ชุมนุมคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลนายหนึ่งถูกยิงด้วยกระสุน จริงได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ความตาย

ผลการชันสูตรของสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และการสอบสวนของตำรวจเอง ปรากฏว่าผู้ตายทั้งสองคนถูกยิงจากมุมสูง มีผู้ถ่ายภาพคนในเครื่องแบบตำรวจชุดดำอยู่บนหลังคา ของอาคารกระทรวงแรงงานซึ่งอยู่ติดกับที่เกิดเหตุ ทำให้น่าสงสัยว่ากระสุนปืนจะมาจากคนเหล่านั้น

ในเหตุการณ์เดียวกัน รถยนต์ของผู้ชุมนุมที่จอดอยู่ รวมทั้งรถของแพทย์และพยาบาลอาสา ซึ่งติดเครื่องหมายกาชาดอย่างชัดเจน และกำลังเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บก็ถูกคุกคามโดย คนในเครื่องแบบตำรวจ พยาบาลอาสาคนหนึ่งซึ่งกำลังพยายามกู้ชีพผู้ป่วยอยู่ในรถพยาบาลถูกยิง เข้าที่ปอดได้รับบาดเจ็บสาหัส รถยนต์ของแพทย์และพยาบาลอาสาถูกทุบทำลายจนเสียหายอย่าง หนัก

ตำรวจจับผู้ชุมนุมได้ 14 คน เมื่อจับได้แล้วก็ทำร้ายร่างกายของผู้ชุมนุมอย่างไม่ปรานี ปราศรัย ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่จะนำตัวไปกักขังและให้ประกันปล่อยตัวมา

หลังจากเหตุการณ์ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาในคืนเดียวกัน เวลาประมาณ 3 นาฬิกา ที่ที่ชุมนุมของ คปท.ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ใกล้่ทำเนียบรัฐบาล มีผู้ขับรถยนต์เข้าไปจนใกล้ เวทีของผู้ชุมนุม แล้วใช้อาวุธสงครามยิงกราดเข้าไป ถูกยามรักษาการณ์เสียชีวิตคนหนึ่งและได้รับ บาดเจ็บอีก 3 คน

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงว่า กรณีการทุบทำลายรถประชาชนที่สนามกีฬาเวสน์ 2 นั้น เป็นการจัดฉากจากมวลชน ซึ่งแฝงตัวเข้า ไปทุบรถเจ้าหน้าที่ แล้วเอาเสื้อเกราะตำรวจไปสวมและทำลายทรัพย์สินของประชาชน

ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลตาย พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลออกมาประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า จะไม่ยอมให้ ตำรวจตายฟรี

ที่น่าสังเกตก็คือปลอกกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุมีลักษณะไม่เหมือนที่ใช้ในราชการทหาร และตำรวจไทย แต่มีลักษณะเหมือนของต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีผู้พบหนังสือเดินทางและ ธนบัตรของกัมพูชาอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย และมีผู้ยืนยัน ว่าคนสวมเครื่องแบบตำรวจจำนวนหนึ่งใช้ ภาษาเขมรในการสนทนากัน ผู้เห็นเหตุการณ์อีกรายหนึ่งเล่าว่า คนในเครื่องแบบตำรวจออก จากสนามกีฬาเวศน์ไปหาซื้ออาหารกิน แต่ไม่สามารถจะบอกผู้ขายได้ว่าต้องการอะไร ต้องใช้มือชี้ เอา และใช้ภาษาเขมรพูดกับเพื่อนในเครื่องแบบตำรวจที่ไปด้วยกัน

ทั้งสิ้นนี้เป็นปริศนาทำให้น่าสงสัยว่า ผู้แต่งเครื่องแบบตำรวจส่วนหนึ่งเป็นตำรวจจริง ๆ หรือ ว่าเป็นชาวกัมพูชาสวมเครื่องแบบตำรวจ เพราะถ้าเป็นตำรวจจริงจะกล้าทำร้ายประชาชนคนไทย ด้วยกันอย่างเหี้ยมโหด และทำความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินของประชาชนอย่างไม่ยั้งมือเช่นนั้นหรือ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะต้องตอบคำถามนี้ ให้ปรากฏข้อเท็จจริงแก่สาธารณชนให้ได้ ว่า มีชาวกัมพูชาในเครื่องแบบตำรวจเข้าไปอยู่ในที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ ถ้ามี ทำอย่างไรคนเหล่านั้น จึงสามารถถืออาวุธและอุปกรณ์ปราบจลาจลครบมือ เข้าไปปะปนอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เป็น จำนวนมากเช่นนั้น

ถ้าตอบคำถามนี้ไม่ได้ ก็จะต้องสันนิษฐานว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับคำสั่ง หรือ มีส่วนรู้เห็น ยอมให้กำลังต่างชาติเข้ามาถืออาวุธทำร้ายและสังหารคนไทยในประเทศ

ถ้าเป็นคำสั่ง คำสั่งนั้นก็จะต้องมาจากผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป คือนายกรัฐมนตรีหรือ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งทำการแทนนายกรัฐมนตรี

ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นความจริงก็หมายความว่า วิกฤตการณ์ในประเทศไทยเข้าขั้นร้ายแรง ที่สุด เพราะรัฐบาลลอบนำกำลังต่างชาติถืออาวุธเข้ามาแต่งเครื่องแบบตำรวจ แล้วปฏิบัติการปราบ ปรามประชาชนคนไทยในประเทศไทย เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอก ซึ่งเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร ตามมาตรา 127 ของประมวลกฎ หมายอาญา มีโทษถึงประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สองปีถึงยี่สิบปี

ส่วนผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด จะเป็นตำรวจหรือใครก็ตาม ต้องระวางโทษเช่นเดียว กับตัวการในความผิดนั้น คือประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก ตามมาตรา 129 ของ ประมวลกฎหมายอาญา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น