.....ขี้ข้าทักษิณอ้างกันว่า เมียซื้อที่ดิน ผัวให้เพียงให้ความยินยอม แต่ต้องติดคุก
.....ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพียงแต่กฎหมายห้ามเท่านั้น
.....มีการอธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจได้ทราบกัน จนประชาชนเริ่มจะเข้าใจกันแล้ว
.....ขณะนี้มีข้ออ้างใหม่อีกแล้วว่า ที่ดินรัชดาจบแล้ว เจ้าของที่ดินได้ที่ดินคืนและผู้ซื้อก็ได้เงินคืนเรียบร้อย มากล่าวหาทักษิณเรื่องนี้ได้อย่างไร
.....นี่คือสิ่งที่ขี้ข้าของทักษิณพยายามหาข้ออ้างมาบิดเบือนหลอกลวงประชาชนที่ไม่มีความรู้ให้เข้าใจผิดกันเรื่อย ๆ
.....พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและคู่สมรสทำนิติกรรมกับหน่วยงานของรัฐที่ตนกำกับดูแล ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี
.....การที่พจมาน ชินวัตร คู่สมรสของทักษิณ ชินวัตร ซื้อที่ดิน ที่ถนนรัชดาภิเษก จากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน จึงผิดกฎหมายดังกล่าว
.....ศาลพิพากษาลงโทษทักษิณให้จำคุก 2 ปี แต่ทักษิณหลบหนี จึงยังไม่ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
.....นี่คือเหตุที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องออก พรบ.นิรโทษกรรม ลบล้างคำพิพากษาของศาล เพื่อทักษิณจะได้ไม่ต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
.....ในส่วนที่เก่ียวกับที่ดินนั้น กองทุนฟื้นฟูฯได้เป็นโจทก์ ฟ้องพจมานเป็นจำเลย ในคดีแพ่ง ขอให้คืนที่ดินที่ซื้อไปให้แก่กองทุนฟื้นฟูฯ
.....ศาลแพ่งพิพากษาให้พจมานคืนที่ดินแก่กองทุนฟื้นฟูฯ และให้กองทุนฟื้นฟูฯคืนเงินค่าขายที่ดินที่รับมาคืนแก่พจมาน คดีถึงที่สุดแล้ว
.....คดีนี้ไม่เกี่ยวกับคดีที่ทักษิณถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งยังมีผลบังคับอยู่ตราบที่ทักษิณยังไม่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาล
.....ผู้ที่โพสต์ว่า คดีของทักษิณจบแล้ว เลิกพูดกันเสียที เพราะได้คืนที่ดินให้แก่เจ้าของเรียบร้อยแล้ว น่ารำคาญ
.....ถ้าท่านถูกผู้ชาย 3-4 คน ฉุดท่านไปแล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโดยที่ท่านไม่ยินยอม
.....เมื่อทุกคนข่มขืนเสร็จในขณะท่านนอนสลบไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น ผู้ชายเหล่านั้นได้เอาทรัพย์สินของท่าน คือ โทรศัพท์มือถือ สร้อยคอ นาฬิกาข้อมือ และเงินจำนวนหนึ่ง หลบหนีไป
.....ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายกลุ่มนี้ได้และได้ทรัพย์สินของท่านที่คนร้ายเอาไปทั้งหมดคืนให้แก่ท่านครบถ้วนแล้ว
.....ท่านยังติดใจที่จะดำเนินคดีแก่ผู้ชาย 3-4 คน ที่ข่มขืนกระทำชำเราท่านจนสลบหรือจะไม่ติดใจดำเนินคดีอีกต่อไป และยินยอมไปอยู่กินกับผู้ชายคนใดคนหนึ่ง ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น