++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คาถาป้องกันยุงกัด "สัมปะจิตฉามิ"

ข้าพเจ้านั้นเป็นคนที่มีความ สนใจทางธรรมมาตั้งแต่เล็ก โดยข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามแบบอย่างคุณพ่อของข้าพเจ้าตั้งแต่การสวดมนต์ การทำสมาธิ และการภาวนา เป็นต้น ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็ยังคงปฏิบัติอยู่เช่นเดิม และคิดว่าจะปฏิบัติอยู่เช่นนี้ตลอดไป
การที่ข้าพเจ้าได้สวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิ และการภาวนา เป็นประจำนั้น ย่อมที่จะพบกับเหตุการณ์แปลกๆและปาฏิหาริย์อยู่บ่อยครั้ง ดังที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้รับทราบกันสักเล็กน้อย
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมา เล่านี้เป็นผลจากการที่ได้ฝึกการปฏิบัติสมาธิภาวนาเป็นประจำ

การ ที่จะปฏิบัติสมาธิและภาวนาให้ได้ผลดีนั้น ก่อนอื่นจะต้องจำคาถาหรือคำภาวนานั้นๆให้ขึ้นใจเสียก่อน มีสติรู้ในการท่องคำภาวนานั้นๆ และจะต้องเลือกให้ถูกกับจริตของตัวเองด้วย ว่าในขณะนั้นอารมณ์ความรู้สึกเป็นอย่างไร จึงจะได้ผล
สำหรับข้าพเจ้าส่วน มากจะใช้คำภาวนาว่า พุทโธ หรือ สัมปะจิตฉามิ และบางครั้งก็อาจจะใช้คำภาวนาว่าอย่างอื่นบ้างตามแต่อารมณ์ คือถ้าอารมณ์มันชอบคิด ก็จะใช้ภาวนาเป็นการท่องคาถาที่เราชอบและจำได้ขึ้นใจแทน แต่ต้องอย่าลืมเอาสติเข้าไปจับคาถาหรือบทสวดมนต์นั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการหลงหรือลืม หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นการพิจารณาอสุภกรรมฐานแทนก็ได้
ก่อนอื่นข้าพเจ้า ต้องขอบอกเสียก่อนว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อฤาษีฯ ในการนำคาถาบทนี้มาใช้นั้น ท่านเป็นคนบอกกล่าวให้นำคาถานี้มาใช้ได้ ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่ได้นำคาถาบทนี้มาใช้ และได้พบกับเหตุการณ์แปลกๆคือ คาถานี้สามารถป้องกันยุงกัดได้ด้วย ถ้าท่านผู้อ่านสนใจจะนำไปใช้ก็ได้
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๑๕ ปีนั้น ข้าพเจ้าได้ไปเข้าค่ายที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นการเข้าค่ายเพื่อปฐมนิเทศน์ ข้าพเจ้าจะต้องพักที่หอพักในโรงเรียนซึ่งค่อนข้างเก่า และน้ำกับไฟฟ้าก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ห้องพักหนึ่งจะอยู่กันประมาณ ๑๘–๒๐ คนเรียกว่าเบียดเสียดกันแน่นห้องก็ว่าได้
คืนแรกข้าพเจ้าพักอยู่ในห้อง พักพร้อมกับเพื่อนๆร่วมห้องเรียนของข้าพเจ้านั้น เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
“โอ้โฮ ดูในห้องนี่สิ ยุงเยอะจัง ไม่ยักกะมียาจุดกันยุงไว้ให้”
แล้วเพื่อนของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งก็พูดขึ้น ว่า “ใครมียาทากันยุงบ้างมั๊ย”
ทุกคนในห้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่มี”
เพื่อนของข้าพเจ้าในห้องพักห้องเดียวกันนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ คราวนี้ต้องมีคนถูกยุงกัดกันทั้งห้องแน่”
สิ้น สุดคำพูดนี้ ทุกคนในห้องต่างก็เลือกที่นอนกันหมด ข้าพเจ้ากับเพื่อนข้าพเจ้ากลุ่มหนึ่งได้นอนกันตรงพื้นที่ปูด้วยเสื่อ แต่เบียดกันอยู่กระจุกหนึ่ง เว้นที่นอนใกล้กับเตียงไว้ ไม่มีใครกล้านอนที่นั้น กลัวถูกยุงกัดกัน เพราะตรงนั้นเป็นที่นอนที่มีทำเลดี สามารถมองเห็นใต้เตียงได้ พอมองเข้าไปก็จะมืดๆ เพื่อนข้าพเจ้าที่นอนอยู่ใกล้ๆกัน บอกว่ายุงมันชอบที่มืดๆ ถ้าใครนอนตรงนี้มีหวังถูกยุงกัดเยอะแน่
ข้าพเจ้า ก็ตัดสินใจทันทีเลยว่า “งั้นฉันนอนเอง จะได้ไม่เบียดกัน”
เพื่อนข้าพเจ้า คนนั้นก็บอกว่า “นอนดีๆนะ ระวังถูกยุงกัดล่ะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน”
ข้าพเจ้า ก็ตอบว่า “รับรองยุงไม่มีวันกัดแน่” ข้าพเจ้าตอบออกไปด้วยความมั่นใจ
พอ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอน จิตของข้าพเจ้าก็จับอยู่ที่คำภาวนาว่า “สัมปะจิตฉามิ” ตลอดทั้งคืน ด้วยอาการสบาย โดยไม่มียุงกัดแม้แต่นิดเดียว
พอ ถึงรุ่งเช้า ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงเพื่อนของข้าพเจ้าตบยุงกันคนละทีสองที เพื่อนคนที่นอนใกล้ข้าพเจ้าถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง นอนหลับสบายดีหรือเปล่า โดนยุงกัดไปกี่ตัวล่ะ”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่รู้สิ ไม่เห็นคันตรงไหนเลย ไม่รู้สึกด้วยซ้ำไปว่ามียุง”
เพื่อนข้าพเจ้าคนนั้น หาว่าข้าพเจ้าโกหก เขาพูดกับข้าพเจ้าว่า “อะไรกัน ทำไมฉันถูกยุงกัดตั้งเยอะ ดูสิ มีแต่รอยแดงเป็นจ้ำ”
พอ ข้าพเจ้าคิดได้สักได้สักอึดใจเดียว ก็ได้มียุงสัก ๓ ตัว ผ่านมาและบินตรงมาที่ข้าพเจ้านอนอยู่ ตั้งแต่ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาก็ยังภาวนาว่า “สัมปะจิตฉามิ” อยู่ตลอดเวลา
พอ ยุงบินเข้ามาจะกัดข้าพเจ้า เพื่อนข้าพเจ้าก็บอกว่า “นี่ ยุงน่ะมันบินเข้ามาแล้ว ไม่ตบซะล่ะ เดี๋ยวมันจะกัดเอานะ”
ข้าพเจ้าก็ตอบ ไปทันทีว่า “ไม่ต้องไปฆ่ามันหรอก เดี๋ยวจะบาป”
เพื่อนข้าพเจ้าก็บอกว่า “ถ้าไม่กลัวมันกัดก็ตามใจ มันกัดเจ็บนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
แล้ว เพื่อนคนนั้นก็มองมาที่ข้าพเจ้า
เมื่อ ยุงมันบินเข้ามา พอมันบินเข้ามาใกล้ได้สักประมาณ ๒ นิ้ว ข้าพเจ้าก็ได้แต่ภาวนาว่า “สัมปะจิตฉามิ” ต่อไปอีก พร้อมกับแผ่เมตตาไปให้มันด้วย
เป็นที่แปลกมาก ยุงมันไม่กัดข้าพเจ้าเลย ได้แต่บินวนๆไปมาอยู่สักพัก แล้วก็บินไป
เพื่อน ข้าพเจ้าที่เห็นเหตุการณ์นั้นถึงกับตาโต บอกว่า “แปลกดีนะ ยุงมันไม่กัดเธอนะ เธอมีอะไรดีหรือเปล่า ดูสิ แขนฉันมันกัดเอาๆ คันจะแย่อยู่แล้ว”
เห็นไหมล่ะคะ ว่าการปฏิบัติสมาธิภาวนานั้น สามารถช่วยเราได้มาก ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้ารู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกสถานการณ์ คำภาวนาเหล่านั้นสามารถที่จะช่วยเราได้ หากเรามีจิตนึกถึง ดังเช่นตัวอย่างในเรื่องที่ข้าพเจ้าได้เล่าไปแล้วนั้น
ถ้าใครก็ตามที่ อยากจะเจอเหตุการณ์แปลกๆ หรือเหตุการณ์ที่เรานึกไม่ถึง ข้าพเจ้าขอแนะนำวิธีหนึ่งที่จะช่วยท่านได้ คือการหันมาฝึกสมาธิและการภาวนา แต่ท่านจะต้องปฏิบัติด้วยใจจริง และปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงจะเห็นผล ถ้าท่านฝึกแล้ว และปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะได้รู้เองและเห็นเอง เพราะธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน คำว่า “สงสัย” ในเรื่องต่างๆก็จะได้หมดไปจากความคิด
ข้าพเจ้าคิดว่าคงมีผู้อ่านบางท่าน สงสัยว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงสนใจด้านนี้ และสนใจอย่างจริงใจเสียด้วย
เหตุผล ประการสำคัญก็คือ ตอนที่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑๐ ขวบ ข้าพเจ้าได้ยินคุณพ่อของข้าพเจ้าท่านสวดมนต์ ไหว้พระ ทุกเช้า-ทุกเย็น และก็นั่งสมาธิทุกเช้า ทุกเย็น เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นมาด้วยตนเองนี่เอง จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจและอยากที่จะทำได้บ้าง ว่าทำไมคุณพ่อของข้าพเจ้านั้นท่านถึงได้ชอบทางนี้
พอข้าพเจ้าได้มาฝึกเห มืออย่างเช่นคุณพ่อของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้านึกชอบขึ้นมา เพราะว่ามันทำให้ข้าพเจ้ามีความสุข และมีความสบายใจ ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มหันมาศึกษาและปฏิบัติเพื่อที่จะเอาดีทางนี้ให้ได้
ความ ชอบนี่เอง ทำให้เวลาที่คุณพ่อของข้าพเจ้าจะไปวัด ข้าพเจ้าจะต้องขอตามไปทุกครั้ง ทั้งที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นไม่ชอบเอาเสียเลย
คุณพ่อของข้าพเจ้า ท่านมักจะชอบค้นหาหนังสือธรรมะมาอ่าน ทำให้ข้าพเจ้าได้พลอยอ่านไปด้วย อ่านแล้วทำให้กระหายอยากที่จะฝึกสมาธิภาวนา อยากไปกราบพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อที่จะได้ฟังธรรมะคำสั่งสอนของท่าน แล้วน้อมนำเข้ามาปฏิบัติตั้งแต่ตอนนั้น คือข้าพเจ้าอายุ ๑๐ ขวบนั้น กับตอนนี้ก็ยังชอบอ่านหนังสือธรรมะอยู่และได้ฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาที่ถูกกับ นิสัย หรือที่ถูกกับจริตของข้าพเจ้าแล้ว
ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดสนใจอยาก ให้ลูกหรือหลาน หันมาปฏิบัติสมาธิภาวนา สิ่งแรกคือ ท่านจะต้องปฏิบัติให้เขาเห็นก่อน และปฏิบัติด้วยความจริงใจและจริงจัง เพราะว่าถ้าพวกเขาเหล่านั้นสงสัยอะไร ท่านจะได้คอยอธิบาย และชี้แจงให้เห็นเหตุและผลที่เป็นอยู่จริง
แต่ทั้งนี้สิ่งที่ข้าพเจ้าแนะ นำนั้นจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆด้วย
เมื่อ ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว ก็จะได้รับผลดังที่ท่านปรารถนา ท่านทั้งหลายก็จะได้พบกับความจริงในทุกๆเรื่อง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นำมาสั่งสอน แล้วจะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “ความสุขไหนๆเล่า จะเท่าความสุขในรสพระธรรม เป็นไม่มี”


--
****************************************************************************
"ขอนอบ น้อมแ่ด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง"

ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องและภาพมา ณ โอกาสนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น