++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หัวใจหลายดวงที่ไม่ต่าง ‘เดียร์-ขัตติยา’

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 19 สิงหาคม 2553 15:49 น.
ถ้าถามว่า ผมเข้าใจหัวจิตหัวใจของ คุณเดียร์-ขัตติยา สวัสดิผล ที่ต้องสูญเสียบิดาบังเกิดเกล้าหรือไม่ คำตอบ คือ ผมเข้าใจดี เพราะผมเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาก่อน แม้ว่า ช่วงนั้นผมจะเป็นเด็กที่มีอายุแค่ 7 ขวบ

เมื่อโตขึ้นมาเมื่อมีคนถามถึงพ่อผมว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง แวบแรกผมตอบในฐานะลูกว่า ผมภูมิใจในตัวพ่อผม เพราะเรื่องราวของพ่อที่ผมรับรู้จากสังคมและคนรอบข้างก็คือ พ่อเป็นคนดี ความเป็นคนดีของพ่อไม่ใช่เป็นเพียงเพราะเป็นพ่อของลูก แต่เป็นคำตอบจากการประพฤติปฏิบัติและการันตีจากสังคม

เมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา มีชาวตรังแวะเวียนมาที่บ้านพระอาทิตย์ เขาเอ่ยชื่อพ่อผมแล้วถามว่า เป็นอะไรกัน ผมตอบว่า พ่อผมเอง และถามกลับว่ารู้จักพ่อผมด้วยหรือ เขาตอบว่าไม่รู้จัก แต่ไปพบชื่อและประวัติพ่อผมในหอจดหมายเหตุของจังหวัด เพราะพ่อเป็นคนเขียนคำขวัญจังหวัดที่ว่า “ชาวตรังใจกว้าง สร้างแต่ความดี”

แต่ถ้าถามว่า พ่อผมเป็นที่เกลียดชังของใครหรือไม่ คำตอบก็คือ มีแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วคนเราก็คงไม่ถึงต้องลงมือมาฆ่าแกงกันแน่ แต่ประเด็นว่า พ่อผมเป็นศัตรูกับใครล่ะ เป็นศัตรูกับคนเลวหรือคนดี แล้วพ่อผมเลือกข้างความดีหรือความเลว

ผมคิดว่าคนทำงานสื่อในยุคนั้นรุ่นคุณสมบูรณ์ วรพงษ์ คงจะจำเรื่องราวของพ่อได้บ้าง

ผมไม่ได้ตั้งใจยกยอพ่อตัวเอง เพราะขึ้นชื่อว่า เป็นมนุษย์แล้วย่อมจะมีความดีความเลวปะปนกันออกไป กฎข้อนี้คงไม่ละเว้นแม้แต่พ่อของผม อยู่ที่ว่ามนุษย์คนนั้นจะปล่อยให้ความดีหรือความเลวมีอิทธิพลต่อตัวเองได้ มากกว่ากัน

ผมเพียงแต่ต้องการอธิบายว่า ผมเขียนบทความชิ้นนี้ด้วยความเข้าอกเข้าใจคุณเดียร์ที่ต้องสูญเสียบิดา บังเกิดเกล้าในฐานะที่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน

กระสุนนัดที่ยิงเสธ.แดงแม้จะเป็นกระสุนคนละนัดกับที่ยิงพ่อผม แต่เป้าของกระสุนนั้นอยู่ตรงจุดเดียวกันพอดี

ในฐานะคนที่ต้องอยู่กับข่าวสาร ผมติดตามข่าวคราวของเสธ.แดง คุณเดียร์มาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่เสธ.แดงเสียชีวิต คุณเดียร์ให้สัมภาษณ์ในท่วงทำนองว่า สังคมกระทำอย่างโหดร้ายต่อครอบครัวของเธอต่อพ่อของเธอ ราวกับประวัติศาสตร์ของคนนั้นเป็นเรื่องราวที่จะเสกสรรปั้นแต่งอย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องอิงกับข้อมูลข้อเท็จจริงเลย

แน่นอนว่าในฐานะลูกเธออาจละเว้นที่จะพูดถึงสิ่งที่พ่อของเธอกระทำต่อ สังคม แต่ภายใต้ถ้อยคำสัมภาษณ์ที่ชิงชังฝ่ายอื่นนั้น เธอกลับทำเหมือนไม่รับรู้เลยว่า พ่อของเธอได้กระทำต่อสังคมและบุคคลอื่นอย่างไรบ้าง ราวกับว่าที่ผ่านมาคุณเดียร์หายตัวไปอยู่อีกภพไม่ได้อยู่ในสังคมร่วมสมัยกับ ที่คนอื่นในสังคมได้ผ่านพบประสบมาเลย

คุณเดียร์ทำเหมือนว่าไม่เคยได้ยินเสียงของพ่อเธอข่มขู่คุกคามคนใน สังคม หรือคิดเอาแต่ได้ด้านเดียวว่า เพราะพ่อของเธอผ่านความเลวร้ายมาเยอะ ผ่านความไม่ยุติธรรมมาเยอะ พฤติกรรมของพ่อจึงเป็นผลิตผลของสังคมที่ไม่ยุติธรรม ไม่ได้เกิดจากกมลสันดานของพ่อเธอ

แต่คุณเดียร์กลับไม่ตั้งคำถามกับคนที่ถูกกระทำบ้าง เมื่อใครพูดถึงพ่อเธอ เธอก็ตอบว่า พ่อตายไปแล้วจะมากล่าวหาอะไรอีก แน่นอนว่าในทางกฎหมายนั้น ต้องยกประโยชน์ให้คนตายอยู่แล้ว แต่ฝ่ายที่ถูกกระทำเขาก็มีสิทธิคิดและตั้งคำถามไปด้วยเหตุสงสัยได้เช่นเดียว กับที่คุณเดียร์เชื่อว่าใครฆ่าพ่อคุณเดียร์

เหมือนที่คุณเดียร์พูดว่า “ยอมรับว่าแค้นมาก ถ้าบอกว่าไม่แค้นนั่นคือเสแสร้งและอกตัญญูมาก ถามว่าเสียใจมั้ยเสียใจมาก อยากฆ่าเขามั้ย อยากมาก แต่ปล่อยให้เวลามันผ่านไป เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง เขาอยู่ไม่เป็นสุขแน่นอน คุณพ่อหลุดพ้นแล้ว ไปสบายแล้วเหลือคนที่อยู่ที่ต้องชดใช้กรรมในสิ่งที่ตัวเองทำ”

พันธมิตรฯ ที่ถูกยิงเสียชีวิต คนหลากสีที่ถูกยิงที่ศาลาแดง ทหารที่ถูกยิงเสียชีวิต ตำรวจที่ถูกยิงแล้วตำรวจพาดพิงมาถึงคนสนิทของเสธ.แดงในภายหลัง ไม่ว่าการกระทำเหล่านี้แท้จริงแล้วจะเป็นฝีมือของใคร ญาติมิตรครอบครัวก็ย่อมจะมีสิทธิคิดแบบที่คุณเดียร์สูญเสียพ่อไปได้เช่น เดียวกัน

คุณเดียร์บอกว่า คนนอกจะไม่ทราบเลยว่าตั้งแต่มีม็อบพันธมิตรฯ และนปช.มันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเราบ้าง แต่คุณเดียร์เคยถามไหมว่า ครอบครัวของคนที่สูญเสียล่ะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง ถ้าคุณเดียร์เคยร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ คุณเดียร์ตอบหน่อยซิครับว่า พันธมิตรฯ เคยไปทำร้ายใคร นอกจากถูกทำร้ายและป้องกันตัวจากการถูกกระทำ

ผมดีใจที่ได้ยินคุณเดียร์ให้สัมภาษณ์เสถียร วิริยะพรรณพงศา ว่า “เดียร์ไม่ใช่พันธมิตรฯ แต่ยอมรับว่าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่ก็ไปฟัง ตอนนั้นเดียร์ไม่มีสี ถ้าข่าวลงไปแล้วชาวเสื้อเหลือง ชาวพันธมิตรฯ หรือแกนนำมาว่าเดียร์ก็ต้องยอมรับ แต่ดีกว่าเดียร์ไม่ได้พูดความจริงว่าเดียร์ไม่ใช่พันธมิตรฯ”

ผมดีใจที่คุณเดียร์บอกว่าไม่ได้เป็นพันธมิตรฯ เพราะดีใจที่พันธมิตรฯ ไม่ได้บ่งเพาะให้คนมีจิตสำนึกเช่นนี้

คุณเดียร์เล่าว่า ทุกครั้งที่ไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ “เดียร์ไปฟังก็บอกคุณพ่อ ท่านก็ไม่เคยว่าอะไร แค่บอกให้ดูแลตัวเอง มันอันตรายนะ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ แต่ไม่ได้เตือนว่าน้องเดียร์ต้องกลับมันมีระเบิดเวลานั้นเวลานี้ แค่ระวังตัวนะลูก ซึ่งถ้าเดียร์เป็นอะไรไปมันคือความผิดของเดียร์เองเพราะว่ารู้ว่าอันตรายแต่ ก็ยังไป” น่าเสียดายที่คุณเดียร์ไม่ได้ถามพ่อว่า ใครทำ

พ่อของคุณเดียร์ไม่ได้บอกคุณเดียร์ว่าระเบิดจะเกิดเวลานั้นเวลานี้ก็ จริง แต่หลายครั้งพ่อของคุณเดียร์ก็พูดผ่านสื่อหรือพูดผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่านี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่คุณเดียร์แกล้งไม่รับรู้เพียงเพื่อจะ กล่าวโทษสังคมที่กระทำต่อพ่อของเธอฝ่ายเดียว

คุณเดียร์มีสิทธิประทับใจเสื้อแดงเพราะซาบซึ้งในน้ำใจต่อคนเสื้อแดง ที่มีต่อพ่อของเธอ นั่นเป็นความงดงามครับ แต่ไม่ควรมองคนอื่นเป็นฝ่ายชั่วร้ายโดยมองข้ามข้อเท็จจริงที่มีอยู่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร่วมสมัยไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่แต่งขึ้นมาเพื่อรับ ใช้ใคร

ผมก็เชื่อว่าสังคมมีความเหลื่อมล้ำมีความไม่ยุติธรรม แต่เราก็ไม่ควรหยิบปมนั้นมาทำร้ายคนอื่น คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยเป็นคนที่ไม่ได้รับความไม่ยุติธรรมและรู้สึกถึงความ เหลื่อมล้ำในชีวิต แต่ผมคิดว่า พันธมิตรฯ ที่บางฝ่ายเรียกว่าคนเสื้อเหลืองก็ได้รับความไม่ยุติธรรมความเหลื่อมล้ำใน ฐานะคนร่วมสังคมเช่นเดียวกัน

แต่เรามองไม่เห็นเลยหรือว่าใครล่ะที่หยิบฉวยปลุกปั่นเอาความเหลื่อม ล้ำไม่เท่าเทียมกันของคนมาเป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง

ผมคิดว่า ถ้าเราคิดเพื่อความเคียดแค้นและชิงชังจะมีโลกไหนบ้างที่เท่าเทียมกัน ถ้าเราพกความเคียดแค้นความชิงชังไปซ้ำเติมสังคม เราจะพบกับสังคมที่ยุติธรรมได้อย่างไร

ผมรู้ว่าคุณเดียร์มีหัวใจมีความรู้สึกนึกคิดรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนปุถุชนทั่วไป แต่จงระลึกว่าคนอื่นก็มีหัวใจเช่นเดียวกัน


--->surawhisky@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น