........ เรื่องราวนี้ก็มีอยู่ว่า สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นสาวกองค์ผู้ใหญ่ขององค์สมเด็จพระบรมครูคือ พระมหากัสสปะ ท่านจำพรรษาอยู่ในปิปผลิคูหา คือใน ถ้ำชื่อปิปผลิ ใน ป่าลึกไกลจากพระพุทธเจ้าอยู่ประมาณ ๖๐ โยชน์ ท่านเป็นพระธุดงค์ ธุดงค์หลายๆวันก็เหนื่อย เหนื่อยก็ต้องพัก การพักผ่อนของอรหันต์นั่นคือเข้านิโรธสมาบัติ คำว่า นิโรธ นี่แปลว่า ดับ สมาบัติ แปลว่า เข้าถึง นิโรธ สมาบัติเข้าถึงความดับทุกขเวทนาทุกอย่างด้วยกำลังของฌาน คือเข้าฌานเต็มที่ จิตเป็นสุข จิตไม่เกาะร่างกาย จิตกับร่างกายแยกกัน ไม่รับรู้เรื่องของประสาท อารมณ์ก็เป็นสุข
การเข้า นิโรธสมาบัตินี่ก็ใช้เวลา ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้างตามแต่กำลังของร่างกาย เมื่อครบเวลา ๑๕ วันก็ออกจากสมาบัติ เมื่อเวลาออกจากสมาบัติก็ต้องใช้ทิพจักขุญาณว่าวันนี้เราจะไปบิณฑบาตที่ไหน ใครจะใส่บาตเราบ้าง เพราะไม่มีการนัดหมายกัน พระที่ออกจากนิโรธสมาบัตินี่ ถ้าทำบุญคนเดียวนะ หลายคนก็ไม่มีผลตามนั้น มันมีแต่ความคล่องตัว ถ้าทำบุญคนเดียวคนนั้นถ้าเป็นขอทานอยู่จะเป็นมหาเศรษฐีวันนั้น
ท่าน ก็มองไปมองมาก็ยังไม่ทราบว่ายังมองไม่เห็นใคร กำลังจะเริ่มมองว่าใครจะใส่บาตร ด็พอดีบรรดาพวกนางฟ้าซึ่งเป็นบริวารของพระอินทร์ทราบว่าพระมหากัสสปะออกจาก นิโรธสมาบัติ ก็พากันยกกันมาเป็นฝูงจะมาใส่บาตรพระมหากัสสปะ มาในฐานะรูปร่างของนางฟ้า
ในเมื่อพระมหากัสสปะเห็น เข้าก็บอกว่า เธอจงหลีกไป นางฟ้าก็บอกว่าฉันจะมาทำบุญกับพระคุณเจ้า พระมหากัสสปะก็บอกว่าเธอเป็นนางฟ้าไม่ใช่คนยากจน พระที่ออกจากนิโรธสมาบัติต้องการสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจให้มีความสุข ในเมื่อพระมหากัสสปะไล่ นางฟ้าก็ต้องไป
ก็เป็นการพอดีเวลา วันก่อนหน้านั้นวันหนึ่ง พระอินทร์ท่านไปสวนนันทวัน เทวดาทั้งหมดก็ตามไป ปรากฏว่าไปเจอะเทวดา ๔ องค์มีแสงสว่างมากกว่าพระอินทร์ แต่เกิดทีหลัง พระอินทร์ไม่ทราบ เพิ่งเห็นในวันนั้น เห็นเข้าแล้วก็ถามปัญจสิกขเทพบุตร ถามว่าเทวดา ๔ องค์มาเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่
ปัญจสิกขเทพบุตร ก็บอกว่าเพิ่งมาเกิดเมื่อวานนี้เองครับ พระอินทร์เห็นว่าเทวดาที่เป็นลูกน้องมีแสงสว่างมากกว่าก็ไม่สบายใจ ประกาศสั่งกลับเวชยันตวิมานทันที
.......แล้วก็มานั่งนึกดู ว่าเวลานี้มีที่ไหนบ้างที่จะเป็นบุญกุศลใหญ่ ก็ทราบว่าพระมหากัสสปะออกจากนิโรธสมาบัติ ตั้งใจจะไปใส่บาตรขณะที่ท่านเตรียมตัวอยู่ พอดีนางฟ้าทั้งหมดก็กลับไปถึงพอดี นางฟ้าก็ถามว่าพ่อเจ้าจะไปไหน ท่านก็บอกว่าฉันจะไปใส่บาตรพระมหากัสสปะ พวกนางฟ้าบอกอย่าไปเลยเจ้าข้า พวกฉันไปมาแล้ว ท่านพระมหากัสสปะท่านไล่กลับมา ท่านบอกท่านจะสงเคราะห์คนจน พระอินทร์ก็เลยบอกว่าถ้าไปอย่างเธอพระมหากัสสปะก็ขับ ถ้าไปอย่างฉันพระมหากัสสปะไม่ขับ
ท่านสองคนตายายก็แปลงเป็นคนแก่ เนรมิตกระท่อมเล็กๆอยู่ชายเมือง ทำเป็นคนแก่สองคนไม่มีลูกไม่มีหลาน เอาจิตก็ตั้งใจนึกว่าวันนี้เราจะใส่บาตรพระมหากัสสปะ ถ้าจิตใครเขานึกอยู่ความเป็นทิพย์นี่มันจะชนกันทันที พอ ดีพระมหากัสสปะก็ใคร่ครวญคิดว่าวันนี้จะมีใครใส่บาตรกับเราบ้าง จิตก็ไปชนกันเข้ากับสองคนตายายอยู่นอกเมืองแก่มาก ลูกหลานก็ไม่มี ต้องทำเลี้ยงตัวเองมีความลำบากและก็มีความยากจน ฉะนั้นวันนี้เราจะสงเคราะห์ให้สองคนตายายเป็นคนร่ำรวย จึงได้ห่มจีวรประคองบาตรแล้วก็เหาะไปจากยอดภูเขา พอใกล้จะถึงนั่นก็ลงเดิน เดินไป
เวลานั้นพระอินทร์แปลงเป็นคนแก่ ทำทีเหมือนคนดายหญ้าถอนหญ้าอยู่ เห็นพระมหากัสสปะเข้า ท่านบอกว่า เอวังปิตัตถะ ภันเต ซึ่งแปลว่า ขอพระคุณเจ้าหยุดก่อนเถิดเจ้าข้า นิมนต์ก่อนขอรับ พระมหากัสสปะก็หยุด ท่านก็แกล้งเรียกชายาว่า ยาย....อาหารของเราเสร็จหรือยัง เวลานี้พระท่านมาโปรด ยายก็บอกเสร็จแล้วเจ้าข้า
เห็นไหมพระอรหันต์ก็ถูกต้มเหมือน กัน ไม่ต้มนี่ขั้นตุ๋นเลยนะ และความจริงความเป็นทิพย์พระอรหันต์นี่ไม่ได้ใช้ทุกเวลานะ ใช้เฉพาะเวลา ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า เวลาที่มีความจำเป็นต้องการจะรู้จึงจะรู้ ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ไม่รู้ และสิ่งที่เขาทำมาแล้วในกาลก่อนต้องการรู้ก็รู้ได้ และส่วนใหญ่พระอรหันต์นี่ไม่อยากจะรู้ เพราะขี้เกียจรู้ ซึ่งมันเป็นกังวล
ท่าน ยายก็เอาอาหารมาให้ตา สองคนตายายก็ช่วยกันใส่บาตร อาหารอันเป็นทิพย์ที่พระมหากัสสปะท่านอยู่ในป่า ท่านฉันเป็นปกติ อาศัยเทวดาฉัน พอใส่บาตรไอ้กลิ่นอาหารที่เป็นทิพย์ก็ไปชนจมูกท่านพระมหากัสสปะเข้า แตะจมูกนะ แตะจมูกหน้าหงายตาโพลงแล้วนี่ พอตาโพลงลุกขึ้นมามีความสงสัยก็ทราบทันทีว่านี่คือพระอินทร์
ก็ถามท้าวโกสีย์ทำไมถึงทำแบบนี้
พระอินทร์ก็ถาม ทำไมครับ ผมจะใส่บาตร
พระมหากัสสปะถาม ทำไมมาแย่งคนจน พระออกจากนิโรธสมาบัติเขาจะสงเคราะห์คนจน
พระอินทร์ก็บอกว่า ผมก็จนครับ
ท่านถามว่า จนยังไงในเมื่อเป็นหัวหน้าเทวดา
ท่าน ก็เลยบอกว่าเวลานี้มีเทวดาเกิดใหม่ ๔ องค์ มีแสงสว่างมากกว่าผม ในฐานะที่ผมเป็นราชาปกครองเทวดามีแสงสว่างไม่เท่าเขา ผมทนไม่ไหวจำเป็นต้องทำบุญต่อ
พระมหากัสสปะก็บอกว่า ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ
มัน เสร็จไปแล้ว เขาใส่บาตรแล้ว บุญเขาได้แล้วใช่ไหม บอกว่าทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ พระอินทร์ท่านก็ไม่ตอบ แสดงว่าไม่ยอมรับใช่ไหม ถ้าโง่ต่อไปอีกก็เอาอีก
........ก็เป็นอันว่าเมื่อพระมหากัสสปะปิดบาตรกลับ พระอินทร์ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศกล่าววาจาถือข้อความปลื้มใจว่า สุทินนัง จะตะ เม ทานัง อะโห ทานัง ปรมัตทานัง มหาสเปนะ อาสวะคะยาวะหัง โหตุ แปลง่ายๆบอก ทานที่เราถวายพระมหากัสสปะเป็นทานที่ดีแล้ว ต่อไปข้างหน้าขอให้ฉันไปนิพพานเถอะ
เสียง นี้ก็ก้องไปในวิหารที่พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ พระก็ถามสมเด็จพระบรมครูว่าเสียงอะไรพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ภิกษุทั้งหลาย กัสสปะลูกตถาคตเสียท่าพระอินทร์อีกแล้ว เห็นไหมพระถูกต้ม....
ก็ เป็นอันว่าการทำบุญของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทในวันนี้ ถ้าจะถามว่าการทำบุญกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติกับการถวายสังฆทาน ใครจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน การออกจากนิโรธสทาบัติเป็นทานส่วนบุคคลนะ เป็นเฉพาะบุคคล การถวายสังฆทานเป็นทานในหมู่สงฆ์ การถวายสังฆทานมีอานิสงส์มากกว่า...........
จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๗
โดย....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น