พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมกับคนไถนา คนไถนาเขาต่อว่าพระสมณโคดมว่า ไม่เห็นทำมาหากิน ทำไร่ไถนาอะไร เที่ยวบิณฑบาตขอเขาอยู่เรื่อยไป พระองค์เมื่อได้ยินชายไถนากล่าวต่อว่าดังนั้น จึงทรงแสดงธรรมโปรดชายไถนาว่า
เราก็ทำนาเหมือนกัน มีอมตะเป็นผล คือมีความไม่ตายนี้เป็นข้าวเปลือกเป็นผล เรามีขันติเป็นงอนไถ มีสติเป็นเหมือนเชือก มีผาลเป็นปัญญาที่จะไถพลิกความโง่ออกจากจิตใจ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสั้น ๆ ครั้นปรากฏว่าพอแสดงธรรมไปแล้ว พราหมณ์ผู้ทำนานี้เกิดเลื่อมใสศรัทธาเพราะว่าไอ้คันไถอย่างนั้น เชือกอย่างนั้น มันหายากเหมือนกันนะ ผาลไถนี่เราก็ทำกันได้ เดี๋ยวนี้ใช้เครื่องผาลไถพลิกกลับดินให้งอกงาม ทำให้ต้นไม้ขึ้นดี แต่ว่าพระองค์นั้นทรงใช้ปัญญา พระผู้มีพระภาคทรงไปโปรดพราหมณ์ผู้ทำนา ปรากฏว่าพราหมณ์ก็ได้พูดกับพระพุทธเจ้าว่า ท่านจะทำนาบ้างไม่ได้หรือไง ผู้ที่ทำนาก็ย่อมได้ข้าวกิน เมื่อไม่ได้ทำนาก็ไม่ควรจะกิน พูดตามภาษาบ้านเราก็ว่าอย่างนั้นเถอะ ปรากฏว่า พระองค์ก็บอกว่าเราก็ทำนาเหมือนกัน ชาวนาผู้เป็นพราหมณ์ก็ถามว่า เอ้า ไหนล่ะเครื่องมือในการทำนาไม่เห็นมีอะไร มีแต่บาตรลูกเดียวจะทำได้อย่างไร พระองค์ก็ทรงตอบว่าเรามีศรัทธาเป็นเสมือนพืชเป็นเหมือนเมล็ดที่จะเพาะปลูก งอกงามเป็นผลเรามีปัญญาเป็นเหมือนแอกและไถ มีหิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือกชัก สติของเราเป็นผาลและปฏัก เรามีกายคุ้มครอง ดีแล้ว มีทวารมีวาจาอันคุ้มครองดีแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราทำการ ดายหญ้าด้วยคำสัตย์ โสรัจจะของเราเป็นเครื่องให้เสร็จงานความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้ สมหวัง นำไปถึงความเกษมจากโยคะ คือปราศจากเครื่องผูกพันนั้น ไปไม่ถอยหลังยังที่ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่ต้องโศก มีอมตะเป็นผล
นี้คือการทำนาของเรา บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เหมือนท่านต้องการข้าวไปแก้หิว เรานั้นก็มีคุณธรรมดังที่ได้กล่าวนี้เป็นเครื่องให้พ้นทุกข์ด้วยเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น