++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

แพทย์ย้ำไม่มีสารช่วยให้ขาวถาวร เตือน “ผงมุก ไข่คาเวียร์ น้ำลายหอยทาก” สุดหลอกลวง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
       แพทย์ผิวหนังย้ำ ไม่มีสารความขาวที่ช่วยให้ผิวขาวถาวร ทั้งผงไข่มุก ไข่ปลาคาเวียร์ น้ำลายหอยทาก สุดหลอกลวงไม่มีผลงานวิจัยทางแพทย์ยินยันชัดเจนทำให้ผิวดี หน้าเด้ง ส่วนสเต็มเซลล์ เทรนด์ใหม่มาแรง ก็แค่แอบอ้างรักษาไม่ได้ผล แถมมีการใช้ยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวช่วยผิวขาวทั้งๆ ที่เป็นผลข้างเคียงของยาทำให้ขาวแต่ซีด หวั่นแห่ใช้แต่น่าจะราคาแพง ส่วนใช้ผงทองคำได้ผลหน้าเนียนเป็นประกายแต่เสี่ยงสะสมในผิวหนังและอวัยวะ เป็นอันตรายต่อสุขภาพขณะที่ครีมกันแดดก็เชื่อไม่ได้ เตรียมเข้มฉลากคำเตือนครีมกันแดด พร้อมหาแนวทางปฏิบัติโฆษณาเหมาะสมไม่ให้คนเข้าใจผิด
      
       วันที่ 26 กุมภาพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษเรื่อง “ขาวอันตราย ...ขาวอย่างปลอดภัย” โดยรศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประธานวิชาการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ผลิตผู้ขายที่นำผงไข่มุก ไข่ปลาคาร์เวีย หรือน้ำลายหอยทาก ทั้งที่เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและใช้โดยตรง โดยอ้างว่าเพื่อบำรุงผิวพรรณนั้น ยืนยันว่า ทางการแพทย์ ไม่พบว่ามีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณแต่อย่างใด รวมถึงสารกลูตาไธโอนที่ เป็นยารักษาโรคมะเร็ง แต่นิยมนำมาทำให้ผิวขาว ก็ยังไม่พบว่ามีการวิจัยทางการแพทย์ในมนุษย์ยืนยันสรรพคุณดังกล่าวเช่นกัน จึงไม่สามารถตอบได้ว่าได้ผลจริงหรือไม่ ดีหรือไม่ดี
      
       “ในส่วนของทองคำ พบว่า มีงานวิจัยยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการสมานผิว ลดการอักเสบของผิวหนัง รวมถึงรักษาโรคปวดข้อ ซึ่งมีการใช้มาตั้งแต่ในโบราณ จึงไม่แปลกใจว่าทองทำให้ผิวพรรณดีขึ้น แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ อนุภาพของเงินกับทองที่มีขนาดเล็กมาก อาจเข้าไปสะสมตามผิวหนังและอวัยวะต่างๆของร่างกายทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ได้” รศ.นพ.ประวิตร กล่าว
      
       รศ.นพ.ประวิตร กล่าวอีกว่า ความสวยงามถือเป็นความนิยมตามกระแส ซึ่งในอดีตก็มีความนิยมโบท็อกซ์ คอลลาเจน ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆต้องมีคำเหล่านี้ดึงดูดผู้บริโภค ขณะนี้มีเรื่องของเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ โดยมีครีมที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์สำหรับทา เพื่อให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะสเต็มเซลล์จะใช้วิธีฉีดเท่านั้น อีกทั้งการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์รับรองแต่เพียงการใช้เพื่อการรักษาโรค ทางโลหิตวิทยาเท่านั้น ดังนั้นเครื่องสำอางที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์นั้นไม่เป็นความจริง อย่างมากก็แค่มีสารในน้ำเลี้ยงสเต็มเซลล์เท่านั้นซึ่งไม่ต่างจากมอยเจอร์ไร เซอร์ธรรมดาเลย หรือบางผลิตภัณฑ์อ้างว่ามีสเต็มเซลล์แต่อาจไม่มีด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า เรื่องสเต็มเซลล์อาจเป็นคำตอบของการรักษาในอนาคต
      
       “นอกจากนี้ ได้รับการสอบถามมาอย่างมากมาจากผู้บริโภคว่า เห็นผู้ป่วยที่ไปรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวรักษาด้วยยารักษาโรคมะเร็งเม็ด เลือดขาว และมะเร็งทางเดินอาหาร อิมาทินิบ แล้วทำให้ผิวขาวขึ้น จึงมีคนมาถามกันเป็นจำนวนมาก จึงเกรงว่า จะเป็นกระแสที่จะนำยาดังกล่าวมาทานอย่างไรก็ตามเชื่อว่ายาอิมาทินิบคงไม่มี นิยมมากเหมือนกับที่นำยารักษาโรคมะเร็งอย่างกลูตาไธโอนที่นำมาใช้ เพราะยาดังกล่าวมีราคาแพงเกือบแสนบาทต่อเดือน จึงขอเตือนผู้บริโภคทั้งหลายให้ระมัดระวัง เพราะยาดังกล่าวถือว่าเป็นยาที่ดีในการรักษาโรคมะเร็ง แต่ไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้เพื่อหวังผลข้างเคียงในเรื่องผิวขาว เพราะเมื่อหยุดทานสีผิวก็จะกลับตามกรรมพันธุ์เดิม” รศ.นพ.ประวิตร กล่าว
      
       รศ.นพ.ประวิตร กล่าวด้วยว่า วิธีที่ทำให้ผิวขาว แต่ก็คงไม่ขาวเกินกรรมพันธุ์ของแต่ละคนคือ การหลีกเลี่ยงแสงแดด ไม่ว่าจะเป็นการกางร่ม ใส่แว่นดำ รวมถึงการใช้ครีมกันแดด ซึ่งอยากเตือนประชาชนทั้งหลายว่า ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดหรือเอสพีเอฟ ที่มีค่าเกินกว่า 100 หรือค่าที่สูงกว่า 50 นั้น เชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากวิธีทดสอบประสิทธิภาพของครีมกันแดดมาตรฐานสหภาพยุโรปตรวจได้ไม่ เกิน 50 เท่านั้น ซึ่งค่าที่สูงๆ เท่ากับว่า การทดสอบยังไปไม่ถึง
      
       “นอกจากนี้ ค่าเอสพีเอฟที่เครื่องสำอางระบุไว้นั้น เป็นค่าที่ต้องใช้ทาใบหน้าในปริมาณ ครึ่ง-1ช้อนชา หรือหา หรือหากเป็นทาตัวจะต้องทาปริมาณ 35 กรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณคนปกติไม่ใช้ เนื่องจากจะเยิ้มมาก เท่ากับว่า ปริมาณที่ทาใบหน้า หากทาในปริมาณที่น้อยกว่าที่กล่าวไปข้างต้น ค่าเอสพีเอฟก็จะลดลงตามไปด้วย จากเอสพีเอฟ 50 แต่ทาปริมาณน้อย อาจเหลือแค่ 10-15 เท่านั้น” รศ.นพ.ประวิตร กล่าว
      
       รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผู้บริโภคไม่ควรเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าช่วยให้ผิวขาว เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใด ที่จะทำให้ผิวขาวได้อย่างถาวร เพียงแต่ช่วยให้ขาวได้ชั่วคราว เมื่อหมดฤทธิ์ยาร่างกายก็จะผลิตเม็ดตามปกติ ทั้งนี้ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีการร้องเรียนไปยังแพทยสภา และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถึงอันตรายของการทำให้ผิวขาวมีจำนวนมาก โดยในปีนี้จะเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก ให้ประชาชนรู้ถึงอันตรายและเปลี่ยนค่านิยมมาพอใจกับสีผิวเดิมของตัวเอง ซึ่งการดูแลผิวอย่างง่ายๆ คือ การใช้มอยเจอร์ไรท์เซอร์และหลีกเลี่ยงแสงแดดเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
      
       รศ.นพ.นภดล กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องครีมกันแดดนั้น ในวันที่ 4 มีนาคม จะมีการประชุมหารือแนวทางการปฏิบัติในการโฆษณาครีมกันแดด เพื่อให้โฆษณามีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นเนื่องจากประชาชนส่วนมากใช้ครีมกัน แดดไม่ถูกวิธี จึงห่วงว่า จะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งในต่างประเทศมีการห้ามไม่ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับกันแดดไปแล้ว เนื่องจากพบว่า มีคนกลุ่มหนึ่งมีความเข้าใจผิดทาครีมกันแดดแล้วสามารถป้องกันแสงแดดได้แต่ กลับพบว่ามีการเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้จะมีการปรับฉลากของครีมกันแดดให้เป็นไปตามกฎระเบียบใหม่โดยให้แสดง คำเตือนชัดเจนมีข้อความเช่นการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีสารป้องกันแสง แดด เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากอันตรายจากแสงแดด ทั้งนี้กฎหมายผ่อนผันให้ผู้ผลิตหรือผู้ขายต้องดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการ เครื่องสำอาง เรื่องการแสดงฉลากคำเตือนที่ฉลากเครื่องสำอางมาภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ซึ่งขณะนี้ผ่อนผันมา 1 ปีแล้ว
      
       รศ. นพ.นภดล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ มีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนมายังสมาคม ว่า ได้ไปรักษาด้วยสเต็มเซลล์หวังให้ผิวขาว ใส แต่ไม่ได้ผลตามที่ได้โฆษณาแต่ต้องใช้เงินจำนวนมากกับการรักษา แม้จะไม่มีผลข้างเคียงก็ตาม โดยได้สอบถามว่ามีผลในการช่วยได้จริงหรือไม่ ซึ่งได้ให้คำตอบว่า เป็นการโฆษณาเกินจริง ซึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้อาจไม่มีสเต็มเซลล์เลยก็ไเป็นได้

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000022431

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น