++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

บัณฑิตสามเณร โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง




                        เมื่อสมัยองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่  เวลานั้นสมเด็จพระบรมครูทรงปรารภบุคคลผู้บำเพ็ญทานเป็นกรณีพิเศษ  คำว่าเป็นกรณีพิเศษนี้ก็หมายความว่า  ในชีวิตนั้นทั้งชีวิต  ทำทานแต่ครั้งเดียว  แล้วในที่สุดภายหลังเกิดมาเป็นสามเณร  อายุได้  7  ปี ก็บรรลุอรหัตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
                        เรื่องนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาได้เคยตรัสว่าสมัยพระพุทธกัสสปทศพล  เวลานั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  ได้แสดงพระธรรมเทศนาสอนคนเพื่อมีความเลื่อมใสในพระองค์ให้ได้บรรลุมรรคผลตาม ๆ กัน
                        อยู่มากาลวันหนึ่ง  บรรดาประชาชนทั้งหลายได้ฟังธรรมของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งมีนามว่า พระพุทธกัสสปทศพล  พระองค์ทรงเทศน์อย่างนี้  คือ ท่านเทศน์ว่า
                        บุคคลใดบำเพ็ญทานด้วยตนเอง  แต่ไม่ชักชวนบุคคลอื่น  เมื่อบุคคลนั้นตายไปแล้วจากโลกนี้  ถ้าเกิดเป็นมนุษย์  จะมีโภคสมบัติมาก มีทรัพย์สินมาก  เป็นคนรวย แต่ขาดบริวารสมบัติ  คือขาดพวกขาดพ้อง ไม่มีพวกไม่มีพ้อง
                        บุคคลใดไม่บำเพ็ญทานด้วยตนเอง  แต่ชักชวนแนะนำบุคคลอื่นให้ทำทาน  เกิดไปชาติหน้าเป็นคนยากจนในโภคสมบัติ  แต่มีเพื่อนมาก
                        บุคคลใดบำเพ็ญทานด้วยตนเอง  และก็ชักชวนบุคคลอื่นบำเพ็ญทานด้วย  บุคคลนั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว  จะเป็นคนมีโภคสมบัติมาก  คือเป็นคนร่ำรวยด้วย  แล้วก็ยังเป็นคนมีเพื่อนมาก คือบริวารสมบัติ
                        บุคคลใดไม่ชักชวนบุคคลอื่นบำเพ็ญทานด้วย ตัวเองก็ไม่บำเพ็ญทาน  บุคคลประเภทนั้น  เกิดในชาติหน้าจะกลายเป็นคนยากจนมาก และก็ขาดพวกพ้อง
                        ในเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ได้ทราบจากองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเทศน์อย่างนี้  ก็ตั้งใจคิดว่าต่อนี้ไปเราจะถวายทาน  ทานครั้งนี้จะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ไพศาลมาก  และการถวายทานครั้งนี้จะให้บุญกุศลเพิ่มแก่ทุกคน  คือ ถวายด้วยสลากภัต  จับสลากว่าใครถูกพระองค์ไหน ถวายองค์นั้น  ถ้าหากว่าองค์หนึ่งคนอาจจะมากกว่า  คือองค์หนึ่งถูก 3 – 4 สลากก็ได้  ให้ถวายองค์นั้นไม่มีการเจาะจง  จัดว่าเป็นสังฆทานโดยแท้  เขาจึงป่าวประกาศให้ประชาชนทั้งหลายถวายทานเพื่อรับสลาก
                        ป่าวไปป่าวมา  ทั้งป่าวทั้งประกาศ  เป็นอันว่าไปเจอะเอาคน ๆ หนึ่ง  คือท่านเป็นมหา  เรียกกันว่ามหาทุคคตะ มหาทุคคตะนี่แปลว่าจนมาก  แสนจน  คือคุณจอมจนคนนี้ แกกำลังตกปลาอยู่  เขาก็บอกว่า
                        “นี่เธอ  รับสลากภัตพระสงฆ์สักองค์ซี”  และท่านก็บอกว่า
                        “ฉันเป็นคนจนขนาดนี้  กินก็ไม่ค่อยจะมี  จะถวายสลากภัตได้อย่างไร  ถ้าของไม่ดีพระก็อาจจะไม่ฉัน”
                        แต่ท่านที่เป็นหัวหน้าทานก็บอกว่า
                        “พระไม่เลือก  ถ้าสิ่งใดที่ไม่เป็นโทษพระฉันได้” แกก็เต็มใจรับ  จำใจต้องทำเพราะมันจน
                        วันนั้นก็แสนจะระยำ  ตอนก่อนที่เขาจะไปบอกบุญ  เขาก็ตกได้ปลาตะเพียนสีแดงเพียงตัวเดียว  หางแดง  หลังจากรับการบำเพ็ญกุศลให้รับสลากภัตแล้ว  ไม่มีโอกาสได้ปลาเลยแม้เพียงปลาตัวเดียว  แต่ว่าตั้งใจว่าได้ปลาตัวนี้กูไม่กินละ  จะเก็บไว้ทำอาหารถวายพระคือสลากภัต  กลับมาบ้านก็มาบอกภรรยาว่า
                        “ยาย  ฉันไปรับสลากภัตพระเขามาองค์หนึ่ง”
                        ยายก็ตกใจบอกว่า  “ไอ้เราน่ะกินก็ยังไม่ค่อยจะมี  ไฉนไปรับมาอย่างนี้”
                        แกจึงบอกยายว่า  “พระท่านไม่เลือก กินได้ เราเป็นคนจน ทำอย่างไรล่ะ  มีอย่างไรก็กินอย่างนั้น  เมื่อมีเท่าไรทำแบบนั้น  มีแบบไหนก็ทำแบบนั้น  ฉันได้ก็ได้  ไม่ได้ก็ตามใจท่าน  ก็เรามันมีแค่นี้  มันจน”
                        ยายก็รับรองว่า  “เอ้า  ถ้างั้นก็ตกลง”
                        ต่อมาก็มาปรึกษากัน  2  คน ตายายว่า
                        “เอ  ไอ้ปลาตะเพียนแดงตัวเดียวนี่พระท่านจะฉันอร่อยรึ  เวลาเราจะกินอาหาร  เราต้องการกินอาหารที่มันดี ๆ  เราไปรับจ้างเศรษฐีเขาดีกว่า”
                        สองคนตายายก็พากันไปรับจ้างมหาเศรษฐี  มีเวลาอีก  7  วัน  ที่จะถวายสังฆทาน  ท่านมหาเศรษฐีถามว่า “เธอต้องการอะไร”
                        ท่านทั้งสองบอกว่า
                        “ต้องการอย่างเดียวคือ ของไปทำสังฆทานถวายพระ  ท่านจะให้อะไรก็เอา”
                        ท่านทำงานให้เขา  7  วัน  เขาก็จัดถั่วบ้าง จัดงาบ้าง  จัดของเนยนมบ้างเท่าที่เศรษฐีเขามีอยู่  เขานึกว่าดี ให้มาเพื่อเอาไปทำทาน
                        เมื่อถึงวันเวลาพรุ่งนี้จะเป็นวันถวายสลากภัต สองคนตายายก็เริ่มช่วยกันปรุงข้าว  ทำตามกำลังที่มันจะพึงได้มาได้ปลาตะเพียนแดงมายืนพื้นมี  1  ตัว  หลังจากนั้นพอวันรุ่งขึ้นจะถวายสลากภัต  ตอนกลางคืนวันนั้นท่านได้ไปหาหัวหน้าทาน  ถามว่า
                        “ฉันได้พระองค์ไหนฉันจะถวายใคร  สลากที่ฉันถูกใคร”
                        ท่านหัวหน้าทานก็บอกว่า  “ตายจริงนาย  ฉันลืมนายไปเสียแล้วซิ  สลากแจกเขาไปหมดแล้ว  นายไม่มีโอกาสแล้ว”
                        แกก็เลยเสียใจ  ว่าฉันอุตส่าห์มีปลาตะเพียนแดงตัวหนึ่ง ฉันไม่กิน  แล้วก็ลงทุนสองคนตายายไปรับจ้างเศรษฐีเขามาหวังที่จะถวายทานแก่บรรดาพระสงฆ์  แต่เวลานี้สลากหมดแล้ว  ฉันจะทำอย่างไร  เจตนาฉันก็ตกไป
                        เจ้าคนหัวหน้าทานก็ปัดสวะให้พ้นหน้าบ้านบอกว่า
                        “เอางี้ก็แล้วกัน  พระพุทธเจ้าไม่มีสลาก พระพุทธเจ้าย่อมสงเคราะห์ไม่ว่าบุคคลใด  เธอไปรอรับพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน”
                        แกตั้งใจดีแล้ว  เอ้า  พระพุทธเจ้าจะสงเคราะห์หรือไม่สงเคราะห์  ไม่สงเคราะห์ก็ตามใจ  ตอนเช้าตรู่แกก็ไป ไปยืนอยู่ที่หน้าวิหารที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่
                        เวลานั้นคนที่ต้องการบาตรขององค์สมเด็จพระบรมครูมีมาก  กษัตริย์หลายองค์  มหาเศรษฐีเยอะแยะ  รอรับบาตรพระพุทธเจ้า  แต่พวกนี้ไปคอยอยู่นานแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่เปิดประตู  และบาตรของพระพุทธเจ้านี่  ถ้าไม่ส่งให้ใคร  แล้วใครแย่งไปไม่ได้เลย  ส่งให้คนไหนเป็นสิทธิของคนนั้น
                        พอท่านมหาทุคคตะไปยืนปุ๊บหน้าประตู  ท่านเปิดประตูพอดี  คือตั้งใจคอย และท่านมหาทุคคตะก็ไม่ต้องคอยเลยแต่เขามีศรัทธามาก  พระพุทธเจ้าไม่ทรงเลือกอาหาร เพราะว่าอาหารอะไรก็ได้  ถ้าไม่เป็นโทษท่านฉัน
                        เมื่อเปิดประตูมาแล้ว  ทุกคนก็ปราดเข้าไปหวังจะรับบาตร  แต่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถไม่ทรงประทานให้แก่บุคคลอื่น  เดินตรงมาที่มหาทุคคตะแล้วส่งบาตรให้
                        เขาได้น้อมรับบาตรจากองค์สมเด็จพระจอมไตร  และอาราธนาให้ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน
                        การนิมนต์พระพุทธเจ้าไม่ต้องบอกสถานที่อยู่ สมเด็จพระบรมครูจะไปถึงเอง  เมื่อเขาอาราธนาแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีบแก้ว  ก็ทรงเดินนำหน้ามหาทุคคตะ  มหาทุคคตะถือบาตรเดินตามมาข้างหลัง
                        เศรษฐีก็ดี  กษัตริย์ก็ดี  ต่างคนต่างติดสินบนมหาทุคคตะว่า  เธอให้บาตรเราเถอะ  เราจะให้ทรัพย์เท่านั้นโกฏิ  ท่านมหาทุคคตะเฉย  ไม่ยอมให้เฉย ๆ บอกว่า
                        “ฉันน่ะมันจนมานานแล้ว  ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้เลยว่าเงินมันเป็นยังไง  หาเช้ากินค่ำมาตลอดเวลา  เวลานี้อายุก็ปาเข้าไป  40  ฉันต้องการอย่างเดียวคือทำบุญกับองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  เรื่องเงินน่ะมันเรื่องเล็ก  มันใหญ่จริงสำหรับความต้องการของ
ฉัน  แต่ว่าฉันต้องการบุญมากกว่า”
                        บรรดากษัตริย์ เศรษฐี  ก็นึกดูถูกในใจว่า  ไอ้เจ้าจอมจนคนนี้มันจะมีกับข้าวดีขนาดไหนจะเลี้ยงพระพุทธเจ้า เขาก็ตามไป จะไปเหยียดหยาม  ดูน้ำหน้าว่า  มันจะมีอะไรเลี้ยงพระพุทธเจ้า
                        เวลานั้นพระอินทร์ก็ทรงแปลงกายลงมาเป็นชายแก่  เดินมาข้างบ้าน ถามว่า
                        “ยายเจ้าของบ้านนี้จะทำอาหารไหม  ฉันมีความถนัดในการทำกับข้าว  แต่ฉันจะปรุงให้โดยไม่คิดค่าจ้างอะไร ๆ ทั้งหมด”
                        ยายก็เลยว่า “เออ ก็ดีแล้ว ฉันก็มีของเท่านี้แหละ มันจะทำอะไรได้บ้างก็ไม่รู้”
                        พระอินทร์เข้าไปดู บอกว่า “เออ ของอย่างนี้ดีมาก  ปรุงอาหารรสอร่อยรสเลิศ  ท่านหามาจากไหนล่ะ”
                        พระอินทร์ก็เข้าไปในครัว  ท่านจะไปทำอะไรของท่าน  ท่านมีหน้าที่อย่างเดียวคือนั่งนึก  ก็คือนึกให้ปลาตะเพียนแดงเข้าผสมกับอาหารต่าง ๆ พร้อมด้วยอาหารทิพย์  ของนั้นก็เป็นของประเสริฐที่สุด  มีกลิ่นอันหอม  รสก็อร่อย  กลิ่นหอมฟุ้งมาก
                        เมื่อเวลาที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จมา   บ้านของมหาทุคคตะหลังคาต่ำ  พระพุทธเจ้ามีพระวรกายสูงถึง  8  ศอก  แต่ก็เป็นธรรมดา  อีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าไปไหนไม่ก้มศรีษะ  ไม้จะต่ำ  หลังคาจะต่ำอย่างไรก็ตาม  จะไม่ทรงก้มศีรษะเด็ดขาด
                        เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเสด็จเข้าไป หลังคาต่ำ ๆ มันก็เลยสูงขึ้นด้วยอำนาจพุทธานุภาพ พระพุทธเจ้าเข้าไปโดยไม่ก้มศีรษะเลย  เข้าไปแล้วพระองค์ก็ทรงนั่งในที่ที่เขาปูให้ประทับ
                        บรรดาเศรษฐี  มหากษัตริย์ต่าง ๆ ก็พากันนั่งดู และดูกับข้าวของมหา
ทุคคตะ หวังจะเหยียดหยาม
                        เวลานั้นท่านมหาทุคคตะก็ถามยายว่า
                        “ยาย พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว  เวลานี้นำอาหารมาถวายองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  กับข้าวน่ะเสร็จแล้วหรือยัง”
                        ยายก็ถามพ่อครัววิเศษว่า  “คุณตา กับข้าวเสร็จหรือยัง”
                        คุณตาก็ว่า  “เรียบร้อยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย”
                        ยายเข้าไปก็ตกใจ  ไอ้ถ้วยกะลาชามกะโหลก มันกลายเป็นถ้วยดีชามดี ถ้วยชามก็สวยไม่สกปรก  ใสสะอาดสะอ้านสวยสดงดงามมาก  อาหารก็เต็มบริบูรณ์สมบูรณ์ มันมากกว่าอาหารเท่าที่มีอยู่  ท่านตาท่านยายจึงนำมาประเคนองค์สมเด็จพระบรมครู
                        บรรดาเศรษฐีและกษัตริย์ก็นั่งดูว่าไอ้นี่มันจะทำอะไรกิน  นอกจากผักต้มผักดองก็แค่นั้นแหละ
                        พอสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเปิดภาชนะออกมา  กลิ่นอาหารของความเป็นทิพย์ก็ฟุ้งขจรออกมา  เป็นเหตุให้กษัตริย์ก็ดี  เศรษฐีก็ดี  อายมหาทุคคตะหนีกลับไปหมด
                        เมื่อสมเด็จพระบรมสุคตทรงฉันแล้ว  สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเทศน์เรื่องอานิสงส์ของทาน
                        ประการที่ 1   กิตติสัทโธ  บุคคลที่ให้ทานแล้ว จะมีชื่อเสียงฟุ้งขจรไปในที่ต่างๆ
                        ประการที่ 2  วิสารโท  คนให้ทานแล้ว จะเป็นผู้แกล้วกล้าในสังคมของคนดี ไปที่ไหนก็อาจหาญรื่นเริง เฉพาะคนดีนะ คนดีเขาสรรเสริญ
                        ประการที่ 3  อสัมมุฬโห  คนที่ให้ทานแล้ว จะไม่หลงตาย  ตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์เบื้องต้น
                        ประการที่ 4  ปิโย  คนที่ให้ทานย่อมเป็นที่รักของบุคคลทั่วไป
                        องค์สมเด็จพระจอมไตรบอกว่า  คนให้ทานเป็นคนมีชื่อเสียง  คนนับหน้าถือตา  คนให้ทานแล้วจะเป็นคนแกล้วกล้าในหมู่ของคนดี  คนดีสรรเสริญ  สองตายายได้ฟังก็ชอบ ชื่นใจ  คนให้ทานแล้วเวลาทุกข์จะไม่หลง  ตายจะไม่หลง  ตายจะมีสติสมบูรณ์แบบ คนตายแล้วอย่างเลวที่สุดได้ไปสวรรค์  แกก็ชื่นใจ พอใจมาก เมื่อเทศน์แล้วองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จกลับ
                        วันนั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลก  พระพุทธเจ้าไม่เทศน์เรื่องศีล 5 เลย  เพราะท่านทราบว่า  คนจนถ้าเทศน์เรื่องศีล 5 การอาชีพก็ลำบาก  ท่านเทศน์เฉพาะอานิสงส์ของทาน
                        และองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงทราบว่า  ถึงแม้ว่าจะไม่เทศน์  เขาก็ต้องปฏิบัติในศีล 5 ถ้าไปเทศน์ว่า การรับศีล 5 ปาณาติบาต อย่าไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้ปลาตะเพียนแดงนั่นเขาตกมา  กำลังใจมันก็จะเสีย
                        การเทศน์ของพระพุทธเจ้า จะไม่ทำให้กำลังใจของบุคคลทั้งหลายเสียไปเพราะผลของบุญ  ตามที่ท่านกล่าวว่า  บุคคลใดทำความชั่วไว้  จงอย่าตามนึกถึงกรรมชั่วนั้น  จงตั้งใจนึกถึงแต่ความดีอย่างเดียว
                        ฉะนั้น  วันนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่เทศน์เรื่องปาณาติบาต  ไม่เทศน์เรื่องศีล 5  ถ้าเทศน์เรื่องศีล 5 เขาจะสะเทือนใจ  องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงเทศน์เฉพาะอานิสงส์ของทาน  เขาเองก็ปลาบปลื้มมากอยู่แล้วว่า แหม ของเลว ๆ ที่เรามี ถ้วยชามเลว ๆ ก็เป็นถ้วยดีชามดี สำรับดี  ของที่เรามี อาหารที่มันไม่ดีกลับเป็นอาหารรสอร่อยหอมฟุ้งตลบ กลิ่นก็ดีมาก  แกไม่ทราบว่า ตาคนนั้นเป็นพระอินทร์ปลอมตัวมาปรุงอาหาร
                        รวมความว่า  พระอินทร์กับเทวดาท่านผสมผเสกัน  ทำบุญทานกับคนอยู่ตลอดเวลา   โดยเลือกเฉพาะพระพุทธเจ้าพระอรหันต์
                        ก็เป็นอันว่า  เมื่อองค์พระพิชิตมารกลับ  เขาทั้งสองได้ช่วยกันรักษาศีล 5 ครบถ้วนบริบุรณ์ และก็เลิกตกปลา กินผักกินหญ้า ตัดฟืนตัดตอง  ขุดหัวเผือกหัวมันขาย  ขายแล้วก็ซื้อของมากิน  ไอ้ปลาที่ซื้อมากินก็กินปลาตาย
                        เมื่อตายจากความเป็นคน  คนสองคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมณโคดม ทรงอุบัติขึ้นในโลก  เขาก็ลงมาเกิดในหมู่คนที่นับถือศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  คือคนในหมู่บ้านนั้นก็เป็นชาวประมงโดยปริยาย คือไม่ใช่ชาวประมงเต็มอัตรา  ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา  หากินโดยการตกปลา หาปลาไหล หาเผือก หามัน ไปตามเรื่อง  ไม่ใช่ว่าการประมงจะต้องทำปาณาติบาตทุกวัน
                        พอเทวดาสององค์นั่น เทวดาผัว เทวดาเมีย ต่างคนต่างก็ลงเข้าท้องคนละท้อง เทวดาผัวลงมาสู่ครรภ์ของท่านผู้ใดในขณะนั้น นับแต่วันแรกเข้าปฏิสนธิ  หมู่บ้านนั้นทั้งหมดต่างคนต่างมีศีล 5 ครบถ้วน  คือทุกคนไม่อยากละเมิดศีล 5  ใจมันดีขึ้นมา  มีความเมตตาปรานี  และต่อมาเมื่อเขาปฏิบัติในศีล 5 ครบถ้วนก็จริง  ปรากฎว่ามันน่าจะจนลง แต่หมู่บ้านนั้นกลับมีความเป็นอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ สุขสันต์หรรษาดีกว่าเดิมมาก
                        ฉะนั้น เมื่อเด็กคนนี้ออกมาจากครรภ์มารดาจึงได้นามเรียกว่าบัณฑิต  บัณฑิตนี่คือคนฉลาด เป็นคนปฏิบัติดี คือ การทำดี พูดดี คิดดี
                        การที่ให้นามเด็กคนนี้ว่า บัณฑิต  เพราะว่านับตั้งแต่เข้าท้องมา  คนทุกคนในหมู่บ้านทรงศีลบริสุทธิ์หมด  เป็นบัณฑิตหมด
                        เด็กคนนี้เป็นที่รักของพระสารีบุตร  คือพระสารีบุตรท่านมีเสน่ห์สำหรับเด็ก  ผู้ใหญ่ท่านก็มีเสน่ห์  ผู้ใหญ่ก็รัก เด็กก็รัก  เวลาเข้าบ้านใครท่านก็นำของเล่นไปด้วย  เข้าบ้านไหนก็ตาม  เด็กเห็นเข้าก็บอกว่า
                        “หลวงลุงสารีบุตรมาแล้ว”
                        “หลวงอาสารีบุตรมาแล้ว”
                        “หลวงน้าสารีบุตรมาแล้ว”
                        วิ่งเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาดึงสบงกับจีวร  ขี่คอบ้าง ลากแขนบ้าง ท่านก็ไม่ว่าอะไร  ดีไม่ดีก็นั่งกลางบ้านเล่นกับเด็กเสียก่อน  แล้วจึงไปหาผู้ใหญ่  เด็กจึงเป็นที่ชอบใจพระสารีบุตรมาก
                        พระสารีบุตรเข้าไปในตระกูลนั้น  เด็กคนนี้ก็มีความรัก  และเมื่อเธอมีอายุ 7 ปี  พอที่จะเป็นอรหันต์ได้  ก็ลาพ่อลาแม่  แต่ความจริงเธอไม่รู้ว่าจะเป็นอรหันต์น่ะ (ความจริงคนอายุ 7 ปี ถึงจะมีสิทธิ์เป็นพระอรหันต์  ถ้ายังอายุไม่ถึง 7 ปี ยังไม่มีสิทธิ์)  เธอก็ตั้งใจจะไปอยู่กับพระสารีบุตร  จึงลาพ่อลาแม่บอกว่าจะไปอยู่กับหลวงลุงสารีบุตร  พ่อแม่ก็อนุญาต
                        เมื่อมาแล้ว  พระสารีบุตรก็พาไปบวชเณร   รุ่งขึ้นเช้าก็ไปบิณฑบาตร  อันดับแรกก็เจอะคนเหลาศร  คนเหลาศรแล้วก็เล็ง  เหลาแล้วก็เล็ง  เธอก็ถามพระสารีบุตรว่า
                        “หลวงลุง  นั่นเขาทำอะไร”
                        พระสารีบุตรก็บอกว่า “เขาเหลาลูกศร”
                        “เขาเหลาแล้วเล็งทำไม”
                        “เล็งให้ตรง  ลูกศรถ้าคดหน่อยเดียวก็จะยิงไม่ถูกเป้าหมาย”
                        จุดที่สองไปพบคนกำลังขุดเหมืองทำรางน้ำเข้านา  เณรก็ถามว่า
                        “หลวงลุง  เขาทำอะไร”
                        พระสารีบุตรก็บอกว่า  “เขาขุดเหมือง”
                        “เขาขุดทำไม”
                        “เขาขุดทำรางน้ำให้น้ำเข้านา”
                        ถามว่า  “น้ำเข้าทำไม”
                        บอกว่า  “ต้นข้าวจะได้งาม จะได้ออกรวง  ถ้าน้ำไม่เข้านาแล้วต้นข้าวจะไม่งาม ไม่ออกรวง แล้วจะไม่มีกิน”
                        เธอก็บอกว่า  “ถ้าอย่างนั้นหลวงลุงไปบิณฑบาตรเถอะ  ผมจะกลับละ  แล้วหลวงลุงไปวันนี้เอาอาหารที่เขาทำด้วยปลาตะเพียนแดงมาให้ผมด้วยนะ”
                        พระสารีบุตรก็ถามว่า “หลวงลุงจะได้มาจากใครล่ะ หลวงลุงขอเขาไม่ได้นี่”
                        เณรบอกว่า “ถ้าไม่ได้ด้วยบุญของหลวงลุง  ก็ต้องได้ด้วยบุญของผม”  แล้วเธอก็กลับ  กลับมาเจริญพระกรรมฐาน
                        เป็นที่อัศจรรย์ที่พระสารีบุตรไปในวันนั้น  ทุกบ้านใส่อาหารที่ทำด้วยปลาตะเพียนแดงทั้งหมด  พระสารีบุตรรับบาตรแล้วก็กลับมา
                        พอกลับมาแล้ว  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงคอยพระสารีบุตรอยู่หน้าวิหารหลังที่เณรกำลังทำกรรมฐาน เพราะทราบว่าถ้าพระสารีบุตรมาถึงเรียกเณร เณรจะไม่ได้อรหันต์
                        เณรกลับไปปิดประตูลงกลอนจะเรียนกรรมฐาน เพราะอาศัยลูกศรกับเหมืองน้ำ  กำลังจวนจะบรรลุอรหันต์  ยังไม่บรรลุด้านปัญญา  ต้องตัดกันด้านปัญญา
                        เมื่อพระสารีบุตรเข้าไปพบพระพุทธเจ้านั่งอยู่หน้าวิหาร  พระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกพระสารีบุตรเข้ามา  แล้วทรงถามปัญหาพระสารีบุตรตามที่เณรกำลังสงสัยอยู่  องค์สมเด็จพระบรมครูถาม  พระสารีบุตรก็ตอบ  ท่านถาม  พระสารีบุตรก็ตอบ  เณรก็ฟัง   จุดที่สงสัยอยู่ก็ตัดขาดในเวลานั้น  เป็นอรหันต์ทันทีพร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณ
                        องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตรัสว่า
                        “สารีบุตรเรียกเณรได้แล้ว  มันสายแล้วนะ เณรจะหิว เณรน่ะเป็นอรหันต์แล้ว เป็นอรหันต์เพราะเราถามปัญหาเพื่อเธอ”  พระสารีบุตรก็เรียก  เณรก็ออกมา
                        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า  ขึ้นชื่อว่าบุญกุศล  ถ้าบุคคลทำแล้วด้วยดีแม้แต่อย่างเดียว  อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยทรงถามไว้ในเรื่อง จาคานุสสติกรรมฐาน  ทรงถามว่า  จาคะตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม  อาตมาก็ต้องตอบว่าได้  ตอบว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตอบว่าได้ในเรื่องนี้
                        ฉะนั้น  การที่ท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า  บำเพ็ญกุศลโดยจรรยาสัมมาปฏิบัติมากกว่าบัณฑิตสามเณรคือ  บัณฑิตสามเณรทำระยะต้นเพียงแค่ให้ทาน  ถวายสังฆทานครั้งแรกในชีวิต  และก็เป็นครั้งเดียวในชีวิต  เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย  ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา จุติจากเทวดามาเกิดเป็นคน  กลายเป็นคนที่เป็นบัณฑิต  ทำให้เป็นอรหันต์ภายในอายุ 7 ปี
                        สำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัทนี้ มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระชินสีห์ บุญหลายอย่างทำมากกว่าเณรมาก คือ
                        1.  พุทธานุสสติ  เวลาไปทำบุญตั้งใจไหว้พระพุทธรูป เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน  อันนี้เป็นอนุสสติใหญ่มาก  อานิสงส์ใหญ่มาก
                        2.  มีความพอใจในธรรม  เป็นธัมมานุสสติกรรมฐาน
                        3.  มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์  เป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน  และก็
                        4.  การสมาทานศีล  เป็น สีลานุสสติกรรมฐาน
                        5.  การถวายทาน  เป็น จาคานุสสติกรรมฐาน
                        ฉะนั้น  บัณฑิตสามเณรท่านทำความดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติก่อน  คือท่านทำเพียงอย่างเดียว  ตายจากความเป็นเทวดาแล้วลงมาเกิดเป็นคนอีกครั้งเดียว  เป็นอรหันต์เข้านิพพานได้ฉันใด  บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เวลาทำบุญมากกว่าท่านหลายประการ  มากมายกว่าเยอะ  หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจกำหนดจิตจับเอาอารมณ์นี้ไว้ให้ทรงตัว  คือ
                        1.  พุทธานุสสติ  ยังเคารพพระพุทธเจ้า
                        2.  ธัมมานุสสติ  ยังเคารพพระธรรม
                        3.  สังฆานุสสติ  ยังเคารพพระสงฆ์
                        4.  สีลานุสสติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีล 5  ทรงศีล 5  ให้บริสุทธิ์
                        5.  จาคานุสสติ  ตัดอารมณ์โลภในทรัพย์สมบัติของคนอื่น  ต้องการเฉพาะทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้โดยชอบธรรมเพียงเท่านี้
                        และเพิ่มกำลังใจเพียงคิดว่า  ร่างกายนี้เป็นที่ก่อแห่งความทุกข์  โลกนี้เรามาเกิดเมื่อใดก็มีความทุกข์เมื่อนั้น เมื่อตายไปจากโลกนี้เมื่อไร  เราจะไม่ยอมกลับมาโลกนี้  จะไม่ยอมไปในเทวดาหรือพรหม  เรามีความนิยมโดยเฉพาะคือพระนิพพาน
                        ถ้ากำลังใจของท่านพุทธบริษัท ตั้งใจไว้อย่างนี้ทุกท่าน  กำลังส่วนนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า  เป็นกำลังใจของพระโสดาบัน และสกิทาคามี  จะได้กำไรดีกว่าบัณฑิตสามเณรมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น