++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

สังกิจจะสามเณร




สุดมหัศจรรย์ พระอรหันต์ ๗ ขวบ ถูกไฟไหม้ขณะอยู่ในครรภ์มารดาแต่ไม่เป็นอันตราย



รอยเท้าของพระอรหันต์ ๗ ขวบ



ผู้ที่เกิดมาถ้าหากว่า มีเป้าหมายแน่นอนที่จะบวชตั้งแต่เยาว์วัยแม้จะเกิดมาในตระกูลใดก็ไม่สำคัญ
เพราะเมื่อบวชเข้ามาแล้วย่อมไม่มีความแตกต่างกันผู้ที่บวชเป็นสามเณรเข้ามาแล้ว
จะให้ความเคารพกันตามลำดับพรรษาโดยผู้ที่บวชภายหลังต้องให้ความเคารพแก่ผู้ที่บวชก่อน
นอกจากนั้นก็ให้ความเคารพกัน ในคุณธรรมและคุณวิเศษคือถ้าท่านผู้นั้นมีคุณธรรมสูงส่ง
มีความประพฤติเป็นที่น่าเลื่อมใสเป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่นได้
แม้จะมีอายุพรรษาน้อยก็ย่อมได้รับการยกย่องเชิดชู

อย่างเช่นสามเณรรูปหนึ่งนามว่า สังกิจจะ ซึ่งท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ และยังได้เป็นที่พึ่งให้แก่พระภิกษุ ๓๐ รูปในราวไพรมีเรื่องราวดังต่อไปนี้

สังกิจจะสามเณรได้ออกบวชเมื่อมีอายุได้ ๗ขวบท่านมีความเป็นมาน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง โยมมารดาของท่านนั้นเป็นธิดาของตระกูลมั่งคั่งในกรุงสาวัตถีแต่ว่ามารดาได้เสียชีวิตตั้งแต่ท่านอยู่ในครรภ์ด้วยโรคร้ายอย่างหนึ่ง

เมื่อมารดาถูกเผาอยู่บนเชิงตะกอน ในขณะที่เนื้อส่วนอื่นไหม้ไปจนหมดยังเหลืออยู่แต่เพียงส่วนเนื้อท้อง พวกสัปเหร่อจึงเอาหลาวเหล็กเสียบเนื้อท้องของนางยกลงจากเชิงตะกอน แทงซ้ำอีก ๒- ๓ ครั้งเพื่อให้เนื้อแตกออกจากกันปลายหลาวเหล็กได้แทงหางตาของทารก เมื่อพวกสัปเหร่อแทงเนื้อท้องเสร็จจึงโยนกลับขึ้นไปบนเชิงตะกอน ใส่ฟืนสุมไฟเข้าไปอีกชั้นหนึ่งจนแน่ใจว่าคราวนี้คงไหม้หมดแน่แล้ว จึงค่อยพากันกลับบ้าน

แม้เนื้อท้องได้ไหม้จนหมด แต่ทารกกลับไม่ได้ไหม้ ยังคงนอนหลับสบายเหมือนนอนอยู่ในห้องกลีบดอกบัว ที่เป็นเช่นนี้ด้วยอานุภาพของผู้เกิดมาเพื่อเป็นภพชาติสุดท้าย แม้จะถูกภูเขาสิเนรุทับก็จะไม่สิ้นชีวิตก่อนที่จะได้บรรลุธรรม

ในวันรุ่งขึ้น พวกสัปเหร่อกลับมาอีกเพื่อจะดับเชิงตะกอน เห็นทารกนอนอยู่บนเชิงตะกอนก็เกิดอัศจรรย์ใจว่า มารดาถูกเผาอยู่บนฟืนมากขนาดนี้แต่ทำไมทารกนี้กลับไม่ไหม้ จึงอุ้มเด็กเข้าไปในหมู่บ้านพวกหมอดูทำนายว่า

"ถ้าทารกนี้อยู่ครองเรือน หมู่ญาติตลอด ๗ ชั่วเครือสกุล จะไม่ยากจน ถ้าเขาออกบวช จะมีสมณะ ๕๐๐ รูปเป็นลูกศิษย์ พวกญาติจึงขนานนามว่า สังกิจจะ เพราะหางตาถูกขอเหล็กแทงจนแตก จากนั้นพวกญาติๆ ได้ช่วยกันเลี้ยงดู โดยตกลงกันว่าเมื่อเด็กโตขึ้นจะให้บวชเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร

ต่อมา เมื่อสังกิจจะอายุได้ ๗ ขวบ ได้ยินพวกเพื่อนๆ พูดกันว่า แม่ของเธอได้เสียชีวิตตั้งแต่เวลาที่เธออยู่ในท้อง แม้คุณแม่จะถูกไฟไหม้จนหมด แต่เธอกลับไม่เป็นอันตราย
สังกิจจะเกิดความสลดสังเวชในการเกิดบ่อยๆ จึงบอกพวกญาติว่า แม้ฉันรอดพ้นจากความตายมาได้ สักวันหนึ่งก็ต้องตายอยู่ดี ฉันจะขอบวชเพื่อแสวงหาทางที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป

หมู่ญาติจึงบอกว่า "สาธุ ดีแล้วลูกเอ๊ย !พวกเราก็ตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน"
ว่าแล้วก็นำสังกิจจะไปหาพระสารีบุตร ได้ขอร้องให้ท่านช่วยบวชให้พระเถระให้กัมมัฏฐาน มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอารมณ์ แล้วก็บวชให้ สามเณรสามารถพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ทำใจหยุดนิ่งอยู่ภายในยกใจขึ้นสู่ไตรลักษณ์ ทันทีที่ปลงผมเสร็จก็ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทันที มีชื่อว่า สังกิจจะสามเณร

ในวันหนึ่ง ได้มีพระภิกษุ ๓๐รูปปรารถนาจะเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมในราวป่าจึงเข้าไปทูลลาพระบรมศาสดาพระพุทธองค์ทรงเห็นด้วยพุทธญาณว่าภัยของภิกษุจะเกิดจากชายชั่วคนหนึ่ง หากสังกิจจะสามเณรไปด้วยก็จะช่วยป้องกันภัยนั้นได้ อีกทั้งพระภิกษุก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปไปลาพระสารีบุตรเถระก่อน

พระพุทธองค์ทรงแนะนำว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอำลาสารีบุตร พี่ชายทางธรรมของพวกเธอแล้วจึงค่อยไป" ภิกษุทั้ง ๓๐ รูป ครั้นรับพุทธโอวาทแล้ว ก็ไปสำนักของพระเถระพระเถระให้การปฏิสันถารทุกรูป พร้อมกับไต่ถามว่า "ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จะพากันไปไหน" จึงบอกว่า

"พวกกระผมเรียนกัมมัฏฐานจากพระบรมศาสดาแล้วต้องการจะเข้าป่าเพื่อปลีกวิเวกพระบรมศาสดาทรงมีรับสั่งให้พวกเรามาอำลาท่านก่อนไป" พระเถระคิดว่า "การที่พระองค์ทรงส่งภิกษุเหล่านี้มาคงเห็นเหตุบางอย่าง" จึงตรวจดูด้วยญาณทัสสนะ ครั้นรู้แล้ว จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุพวกท่านมีสามเณรคอยอุปัฏฐากหรือยังครั้นพวกภิกษุบอกว่า ยังไม่มี

...พระเถระจึงบอกว่า ถ้ายังไม่มีพวกท่านจงนำเอาสังกิจจะสามเณรของเราไปด้วยสิ อย่าเลย ครับถ้าสามเณรไปด้วยพวกกระผมจะพลอยกังวลใจเปล่าๆ เนื่องจากพวกเราประพฤติธรรมอยู่ในป่าคงไม่จำเป็นต้องให้สามเณรมาอุปัฏฐาก

สารีบุตรกล่าวเตือนว่า ท่านผู้มีอายุสามเณรนี้จะไม่ทำให้พวกท่านกังวลใจหรอก มีแต่เพราะอาศัยพวกท่านสามเณรจะเป็นกังวลมากกว่า แม้พระบรมศาสดาทรงหวังจะส่งสามเณรไปกับพวกท่านจึงทรงรับสั่งให้มาลาเราก่อนพวกท่านจงพาสามเณรไปด้วยเถิดภิกษุเห็นว่าพระเถระมีความปรารถนาดี ก็ยินดีรับสามเณรไปด้วยจึงรวมเป็น ๓๑ รูป จากนั้นได้อำลาพระเถระ เที่ยวจาริกไป

เมื่อเดินทางไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ ถึงหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่งพวกชาวบ้านเห็นภิกษุสงฆ์เดินธุดงค์ผ่านมา ต่างก็มีจิตเลื่อมใสถวายอาหารบิณฑบาตโดยเคารพ พร้อมกับไต่ถามว่า"พระคุณเจ้า จะเดินธุดงค์ไปไหน"จึงบอกว่า"กำลังหาสถานที่สัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม"

ชาวบ้านจึงกราบนิมนต์ว่า "ท่านเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นขอนิมนต์พระคุณเจ้าอยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งนี้เถิดพวกกระผมจะสมาทานศีลห้าและรักษาอุโบสถศีล"

พระสงฆ์ทุกรูปเห็นโยมมีศรัทธาแรงกล้า จึงรับนิมนต์เพื่ออยู่จำพรรษาในวิหารใหม่ที่ชาวบ้านพากันทำถวาย
เมื่อได้สถานที่อยู่จำพรรษาแล้วทุกรูปต่างแยกย้ายกันเข้าจำพรรษาในที่เฉพาะของแต่ละรูปโดยจะไม่อยู่รวมกันแห่งละ ๒ รูป มุ่งทำพระนิพพานให้แจ้งกันอย่างเดียว

ในวันเข้าจำพรรษา พระเถระได้ให้โอวาทและตั้งกติกาว่า "ผู้มีอายุพวกเราเรียนกัมมัฏฐานจากพระพุทธเจ้าผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ หากไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจะให้พระองค์ทรงพอพระทัยนั้น เป็นเรื่องยากอีกอย่างหนึ่ง ประตูอบายก็เปิดคอยรับพวกเราเสมอ เพราะฉะนั้นยกเว้นเวลาบิณฑบาตในตอนเช้าและเวลาบำรุงพระเถระตอนเย็น ในเวลาที่เหลือพวกเราจะไม่อยู่ในที่แห่งเดียวกัน ๒ รูปแต่ถ้าภิกษุรูปใดอาพาธ ก็จงตีระฆังพวกเราจะไปที่พักของท่านผู้นั้นเพื่อช่วยกันพยาบาล นอกจากนี้ พวกเราจะไม่ประมาทหมั่นทำกัมมัฏฐานให้ต่อเนื่อง"
จากนั้นมา ภิกษุทุกรูปจึงอยู่ด้วยความไม่ประมาท หมั่นทำกัมมัฏฐานทั้งยืนเดิน นั่ง นอน ตลอดกลางวันและกลางคืน

ในวันหนึ่งได้มีบุรุษเข็ญใจคนหนึ่งซึ่งแต่เดิมเคยอาศัยครอบครัวของภรรยาดำรงชีพแต่เมื่อถูกทอดทิ้งจึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยได้พบพระภิกษุสงฆ์กำลังเที่ยวไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเมื่อได้ภัตตาหารมาแล้ว ก็มานั่งทำภัตกิจอยู่บนหาดทราย

เขาได้เข้าไปไหว้พระเถระด้วยความคิดว่า พระภิกษุเพิ่งกลับจากบิณฑบาตกำลังทำภัตกิจ คงมีอาหารพอทำให้เราคลายหิวได้บ้าง เถระเมื่อเห็นเขาจึงถามเขาว่า "จะไปไหนล่ะ" ครั้นรู้ว่าเขากำลังตกทุกข์ได้ยาก จึงเกิดความกรุณาบอกเขาว่า "อุบาสก ท่านหิวมาก จงไปนำใบไม้มา" ว่าแล้วแต่ละรูปก็ได้คลุกข้าวกับแกงแบ่งให้ บุรุษเข็ญใจกินข้าวเสร็จแล้ว คิดว่า"เราอุตสาห์ทำงานตลอดทั้งวัน ก็ยังไม่ได้อาหารที่เลิศอย่างนี้เราจะไปที่อื่นทำไม อยู่กับภิกษุเหล่านี้ ดีกว่า"

จึงบอกพระภิกษุว่า "กระผมอยากจะขออยู่ช่วยอุปัฏฐากดูแลพระคุณเจ้า" พวกภิกษุเห็นความตั้งใจดีของเขา จึงเมตตารับเขาไว้เมื่อเขาอยู่กับพระสงฆ์ ก็ทำวัตรปฏิบัติเป็นอย่างดีทำให้พวกพระภิกษุรักและไว้วางใจเรื่อยมา

แต่เมื่อผ่านไป ๒ เดือน เขาก็เกิดอยากมีภรรยาขึ้นมาคืนนั้นจึงแอบหนีไปโดยไม่บอกลา โดยหารู้ไม่ว่าเขากำลังจะนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่ภิกษุสงฆ์ ก็ในหนทางที่เขาไปนั้น มีดงอยู่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ซุ่มอยู่ของพวกโจร วันนั้นโจร ๕๐๐ คน ได้บนบานเทวดาว่า "ถ้าใครเข้ามาในดง พวกเราจะจับผู้นั้นฆ่าเอาเนื้อและเลือดของผู้นั้นทำพลีกรรมแด่ท่าน"

เมื่อกล่าวบนบานแล้ว หัวหน้าโจรก็ได้ขึ้นต้นไม้มองคนเคราะห์ร้ายที่จะพลัดหลงเข้ามา ก็ได้เห็นบุรุษนั้นเดินมาแต่ไกลจึงได้ให้สัญญาณแก่สมุนโจรพวกโจรรู้ว่ามีคนพลัดเข้ามาแล้ว จึงล้อมจับเขา ผูกมัดอย่างแน่นหนา ขนฟืนมาก่อเป็นกองไฟใหญ่ เสี้ยมหลาวไว้บุรุษนั้นถามโจรว่า "นายกระผมไม่เห็นจะมีหมูหรือเนื้อเลยสักตัวเดียวพวกท่านก่อไฟและเสี้ยมหลาวไว้ทำไม?" พวกโจรพากันหัวเราะบอกว่า "พวกเราจะฆ่าเจ้า แล้วเสียบหลาวย่างทำพลีกรรมแด่เทวดานะซิ" เขาเกิดกลัวตายสุดขีด ไม่ได้คิดถึงอุปการคุณของพวกภิกษุเลยคิดแต่จะเอาตัวรอดอย่างเดียวบอกพวกโจรว่า

"นาย ข้าพเจ้าเป็นคนกินเดนคนกินเดนเป็นคนกาลกิณี ก็พวกพระภิกษุโดยมากออกบวชจากตระกูลใหญ่ๆ เป็นกษัตริย์ออกบวชก็มี มีภิกษุ ๓๑รูป อาศัยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่พวกท่านจงฆ่าพระทำพลีกรรมเถิดเทพเจ้าของพวกท่านจะได้พอใจ" พวกโจรฟังแล้ว คิดว่า "บุรุษคนนี้พูดถูก การฆ่าคนกาลกิณีนี้ คงไม่เกิดประโยชน์พวกเราจะฆ่ากษัตริย์ทำพลีกรรมดีกว่า" คิดแล้วจึงแก้มัดให้เขาจากนั้น ให้เขานั่นแหละเป็นผู้นำทาง

เมื่อถึงที่อยู่ของพวกภิกษุแล้วไม่เห็นภิกษุแม้เพียงรูปเดียว หัวหน้าโจรจึงถามเขาว่า"พวกภิกษุอยู่ที่ไหนล่ะ?" เขารู้กติกาของภิกษุสงฆ์ดี จึงกล่าวว่า"พวกภิกษุกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่พักของตัวเอง จงตีระฆังดูซิ่งเมื่อพวกภิกษุได้ยินเสียงระฆัง ก็จะมาประชุมกัน"

หัวหน้าโจรจึงตีระฆังขึ้นพวกภิกษุได้ยินเสียงระฆัง จึงคิดว่า"มีผู้ตีระฆังผิดเวลา คงจะมีใครเจ็บไข้กระมัง"
จึงมานั่งรวมกัน เมื่อพระภิกษุมาครบทุกรูป ไม่เห็นมีองค์ไหนอาพาธพระสังฆเถระได้ถามพวกโจรว่า "อุบาสก พวกท่านตีระฆังทำไมหรือ"

หัวหน้าโจรจึงบอกความประสงค์ว่า "พวกข้าพเจ้าบนบานเทวดาประจำดงไว้ ต้องการภิกษุรูปหนึ่งเพื่อนำไปทำพลีกรรมแก่เทวดา พวกท่านจงส่งตัวแทนของภิกษุมารูปหนึ่ง"

พระมหาเถระครั้นได้ฟังหัวหน้าโจรบอกว่า ต้องการภิกษุ ๑ รูปเพื่อนำไปทำพลีกรรม จึงคิดว่า ธรรมดาอันตรายที่จะเกิดแก่น้อง ๆผู้เป็นพี่ต้องช่วยแก้ไข จึงบอกพวกภิกษุว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย ผมจะสละชีวิตเพื่อพวกท่านขออันตรายจงอย่ามีแก่พวกท่านเลย พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทบำเพ็ญสมณธรรมเถิด"

ฝ่ายพระอนุเถระก็คิดว่า พระมหาเถระควรจะอยู่เป็นที่พึ่งให้แก่น้องๆจึงกล่าวว่า "ธรรมดากิจของพี่ย่อมเป็นภาระของน้อง กระผมขอไปเองขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด"

ทางด้านพระภิกษุที่เหลือต่างก็ลุกขึ้นพูดเหมือนกันว่า"ผมเอง ให้ผมไปเอง"

ภิกษุทั้งหมดแม้ไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกัน ยังไม่มีใครหมดกิเลส มีความกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ยอมเสียสละชีวิตเพื่อพระภิกษุที่เหลือฝ่ายสามเณรก็แน่เหมือนกัน ได้บอกพระภิกษุว่า "หยุดเถิดท่านขอรับ กระผมจะสละชีวิตเพื่อพวกท่านเอง" พวกภิกษุได้ยินสามเณรพูดดังนั้น ก็รู้สึกสะท้านไปถึงหัวใจรีบกล่าวห้ามว่า "สามเณร เราทั้งหมดแม้จะถูกฆ่ารวมกันก็จะไม่ยอมสละเธอผู้เดียว.."สามเณรถามว่า "ทำไมจึงพูดอย่างนั้น ขอรับ"

พวกภิกษุบอกว่า"เธอเป็นสามเณรของพระสารีบุตรเถระ ถ้าเราจะสละเธอไป พระเถระก็จะตำหนิได้ว่าพวกภิกษุไม่ต้องการสามเณร จึงพาไปให้พวกโจรฆ่าทิ้ง พวกเราไม่อาจรับคำตำหนินั้นได้เพราะฉะนั้น เราจึงสละเธอไปไม่ได้"

สามเณรบอกให้พระทุกรูประลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่จะออกเดินทางพร้อมกับชี้แจงว่า "ท่านครับการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงส่งพวกท่านไปอำลาพระอุปัชฌาย์ของกระผมก็ดีการที่พระอุปัชฌาย์ส่งกระผมมากับพวกท่านก็ดีได้ทรงเห็นเหตุนี้แล้วทั้งนั้น จึงส่งมาพวกท่านจงหยุดเถิดกระผมนี้แหละจะไปเอง"

ถ้อยคำที่กล่าวอย่างองอาจและมีเหตุมีผลของสามเณรทำให้พระทุกรูปไม่กล้าคัดค้าน ได้แต่นิ่งสามเณรไหว้ภิกษุทั้ง ๓๐ รูปแล้ว กล่าวว่า "ท่านครับ ถ้ากระผมเคยผิดพลาดล่วงเกินขอท่านจงโปรดให้อภัยด้วย"

ว่าแล้วก็ออกเดินนำพวกโจรไปโดยไม่สะทกสะท้านไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อมรณภัยแม้เพียงนิดเดียวความสลดใจอย่างใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นแก่พระภิกษุน้ำตาเอ่อล้นเต็มเบ้าตา หัวใจสั่นไหวด้วยความสงสารสามเณร
เมื่อสามเณรเดินคล้อยหลังไป พระมหาเถระได้ขอร้องหัวหน้าโจรว่า "โยม สามเณรยังเป็นเด็ก เห็นพวกท่านก่อไฟ เสี้ยมหลาว ลาดใบไม้จะเกิดความกลัว พวกท่านจงให้สามเณรพักอยู่ในที่แห่งหนึ่งก่อนแล้วทำพลีกรรมในอีกที่หนึ่งเถิดนะ"

เมื่อพวกโจรพาสามเณรไปแล้ว ได้พาไปพักไว้ในที่แห่งหนึ่งแล้วจึงค่อยไปเตรียมบูชายัญในที่อีกแห่งหนึ่งครั้นสามเณรไปถึงที่อยู่ของพวกโจร แทนที่จะนั่งร้องไห้กลัวตายกลับนั่งเข้าฌานสงบนิ่งไม่ไหวติงส่วนพวกโจรเมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วหัวหน้าโจรได้ชักดาบเดินเข้าไปหาสามเณร กำด้ามดาบแน่นแล้วยกขึ้นฟันฉับลงที่ก้านคอสามเณรทันที!ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น..! ดาบได้งอพับเป็นรูปโค้งทำให้หัวหน้าโจรต้องตะลึง ! แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า

"เราคงฟันพลาดไปมั้ง" จึงดัดดาบให้ตรง แล้วฟันซ้ำอีก ดาบได้ม้วนงอลงมาอีกครั้งหัวหน้าโจรเห็นปาฏิหาริย์แล้ว จึงเกิดความหวั่นไหว คิดว่า

"เมื่อก่อนดาบของเราสามารถใช้ตัดเสาหินหรือตอไม้ตะเคียนเหมือนฟันหยวกกล้วยแต่คราวนี้ดาบของเราม้วนงออย่างกับใบตาลม้วน ดาบนี้แม้ไม่มีจิต ยังไม่กล้าทำร้ายสามเณรเราเป็นคนแท้ๆ แต่กลับไม่รู้คุณของสามเณร"

เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงทิ้งดาบลงบนพื้น หมอบลงแทบเท้าของสามเณรกล่าวว่า "สามเณร พวกเราเป็นโจรในป่ามานาน คนตั้งพันเห็นพวกเราแต่ไกลยังตัวสั่น ส่วนท่านไม่มีความกลัวแม้เพียงนิดเดียวใบหน้าของท่านกลับผ่องใสยิ่งนัก เป็นเพราะอะไรหนอ" สามเณรบอกว่า "ท่านหัวหน้าธรรมดาของผู้ที่หมดกิเลสแล้ว ย่อมไม่มีความหวาดกลัวขึ้นชื่อว่าร่างกายเป็นเหมือนภาระหนัก ที่ต้องคอยดูแล พระอรหันต์ทั้งหลายเห็นว่าเมื่อร่างกายแตกสลายไป ย่อมมีแต่ความยินดี ไม่มีความหวาดกลัวเลย"

"พวกท่านจะทำอย่างไรต่อไป ? "ลูกน้องโจรไม่มีความเห็นได้แต่บอกว่า "ก็แล้วแต่หัวหน้าเถอะ"หัวหน้าโจรจึงบอกว่า"เมื่อเราเห็นปาฏิหาริย์นี้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเป็นโจรป่าเราจะบวชเป็นลูกศิษย์ของสามเณร"

พวกสมุนโจรเห็นดีเห็นงามว่า"ดีแล้ว แม้พวกเราก็จะบวชเหมือนกัน "หัวหน้าโจรจึงได้นำสมุนทั้งหมดกราบเท้าขอบวชกับสามเณรสามเณรได้ใช้คมดาบตัดผมของหัวหน้าโจร ตัดชายผ้าที่โจรใช้ห่มออก แล้วย้อมด้วยดินแดงให้ครองผ้ากาสาวะ แล้วก็ให้โจรทั้งหมดบวชเป็นสามเณร ให้รับศีล ๑๐ ทุกคนสังกิจจะสามเณร เมื่อให้พวกโจรรับศีล ๑๐ แล้ว คิดว่า "บริเวณนี้เป็นที่ไม่ปลอดภัยสำหรับสามเณรใหม่ เราควรนำพวกเขากลับไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา"

ก่อนจะไปได้คิดว่า "ถ้าเราไม่ลาพระเถระทั้งหลายเสียก่อนพวกท่านคงไม่อาจบำเพ็ญสมณธรรมได้ ตั้งแต่เวลาที่เรามากับพวกโจรก็ไม่มีพระองค์ไหนสามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้" จึงตั้งใจจะกลับไปหาพระภิกษุทุกรูปก่อน

สังกิจจสามเณรกลัวว่าภิกษุทั้ง ๓๐ รูปจะเป็นห่วง จึงพาสามเณรใหม่ทั้ง๕๐๐ รูป กลับไปลาพวกภิกษุ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังทุกอย่างจนภิกษุทุกรูปสบายใจไปตามๆ กันเหมือนยกภูเขาออกจากอกก่อนจะจากไปสามเณรบอกให้ภิกษุทุกรูปอย่าได้ประมาทให้ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มที่จากนั้นก็กล่าวลาเพื่อไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเมื่อกลับไปถึงวัดเวฬุวัน ก็ได้นำสามเณร ๕๐๐ รูปไปกราบนมัสการพระสารีบุตรเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์

พระสารีบุตรถามว่า
"สังกิจจะ เธอได้ลูกศิษย์มาหรือ?" สามเณรจึงตอบว่า
"ครับ" แล้วก็เล่าเรื่องราวให้พระเถระทราบทุกอย่างพระสารีบุตรแนะนำว่า "สังกิจจะเธอจงพาสามเณรเหล่านี้ไปเข้าเฝ้าพระศาสดาเถิด"

สังกิจจสามเณรเมื่อได้รับคำแนะนำแล้ว พาสามเณรทั้ง ๕๐๐ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสถามว่า "สังกิจจะ เธอได้ลูกศิษย์มาหรือ?" สามเณรจึงกราบทูลให้ทรงทราบพระบรมศาสดาตรัสสนทนากับสามเณรใหม่ทั้ง ๕๐๐ทรงแสดงธรรมเนื้อหาโดยสรุปว่า

"การที่พวกท่านตั้งอยู่ในศีล มีชีวิตอยู่แม้วันเดียวในบัดนี้ประเสริฐกว่าการเป็นโจรตั้ง ๑๐๐ ปี ก็ผู้ใดทุศีล มีจิตไม่ตั้งมั่นแม้มีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ความเป็นอยู่วันเดียวของผู้มีศีล มีฌานประเสริฐกว่า"

ในเวลาจบพระธรรมเทศนา สามเณรทั้ง ๕๐๐ รูปได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า สามเณรอายุเพียง ๗ ขวบเพียงรูปเดียว ก็สามารถช่วยให้พระภิกษุทั้ง ๓๐ รูป รอดพ้นจากความตาย และยังสร้างศรัทธาให้กับพวกโจรทั้ง ๕๐๐ ได้มาบวชในพระพุทธศาสนา

ดังนั้นการที่มีผู้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าอายุยังน้อยก็ตามแต่หากเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมอันสูงส่งแล้วก็สามารถชี้นำสิ่งที่ดีๆให้สังคมตลอดจนมวลมนุษยชาติได้ แม้เป็นเพียงเด็กเล็กๆ ก็สามารถทำโลกนี้ให้สว่างได้.....
http://fwdmaildd.blogspot.com/2009/08/blog-post_9069.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น