++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

อย่าเพ่งโทษ ครูบาอาจารย์

หลายวันมานี้มีโทรศัพท์มามากมาย ถามถึงเรื่องราวของครูบาอาจารย์รูปหนึ่งที่กำลังมีชื่อเสียงในแวดวงการสอนพระกรรมฐาน ผู้เขียนเองไม่เคยได้กราบท่านหรือรู้จักท่านโดยส่วนตัวมาก่อน หากเคยได้ฟังบรรยายธรรมจากสื่อซีดีมาบ้างเล็กน้อย และเคยอ่านหนังสือ ‘ทางเอก’ ที่ท่านเขียนนานมาแล้ว
คำถามส่วนใหญ่ที่ลูกศิษย์ลูกหาอยากรู้ คือความเห็นของผู้เขียนต่อแนวทางการสอนของท่าน..ก็ได้แต่ตอบสั้น ๆ
“หลวงปู่พรมก็สอนอย่างนั้น!” หลวงปู่พรม พรหมโชโต คือครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนเคารพนบนอบอย่างยิ่ง ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าชนะสงคราม ที่คณะศรัทธา ทมยันตี-ภูเตศวร ดำเนินการสร้างมาตั้งแต่ปี 2541 สมัยท่านเป็นฆราวาสเคยเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่บัว สิริปุณโณ มานานหลายปี
จำได้ว่าหลายปีที่ผ่านมา หลวงปู่พรมได้ปรารภกับผู้เขียนในวันหนึ่ง...
“คนทำงานอย่างแม้วมักหาโอกาสนั่งภาวนาได้ยาก ปู่จะแนะวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ให้นะ”
หลังจากนั้นท่านก็สอนให้เจริญสติด้วยการสังเกตอาการของจิต...อะไรที่กระทบและจิตรู้สึกอย่างไรให้ ‘รู้’ ตามนั้น
เช่นโกรธก็ให้ตามรู้ว่าโกรธ รักให้รู้ว่ารัก เกลียดให้รู้ว่าเกลียด เกิดราคะก็รู้ว่าเกิดราคะ ฯลฯ
ไม่เพียงหลวงปู่จะย้ำว่า ทำไปเรื่อยสติของเราจะกล้าขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่านั้น ท่านยังรับรองว่า...
“...เป็นการปฏิบัติที่ลัดเลาะตัดตรงที่สุด” เพราะตรงกับสิ่งที่ท่านเคยสอนมานาน
“...ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจดวงนี้ จะนรกสวรรค์หรือพระนิพพานอยู่ที่ใจดวงนี้เท่านั้น!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คือบทสรุปของคำตอบของผู้เขียนที่ชัดเจนว่าแนวทางของครูบาอาจารย์รูปนั้นเป็นอย่างไร...

เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น หลายท่านก็เลยขยายความต่อถึงเรื่องราววุ่น ๆ ที่ว่า เวลานี้มีกระแสโจมตีออกมามากมายหลายประเด็น และอยากให้ภูเตศวรแสดงความคิดเห็นบ้าง
“อย่าเพ่งโทษครูบาอาจารย์!” ผู้เขียนตอบสั้น ๆ ตามที่เคยเรียนรู้มา เพราะปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์แต่ละรูปแต่ละองค์ย่อมมีข้อผิดแผกแตกต่างกันไปตามวาสนาบารมี เราไม่รู้ภูมิธรรมของท่านว่าท่านอยู่ระดับไหน...
“ไปเพ่งโทษท่านระวังจะลงนรก”

ถึงตรงนี้ก็เลยขอยกตัวอย่างบางเรื่องมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจพวกเรากันบ้าง เรื่องนี้มาจากปากคำของคุณอนุชิต ปุรสาชิต ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี
วันหนึ่งหลวงปู่บุญจันทร์นำพระลูกวัดเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ก่อนออกเดินทางท่านก็คอยพร่ำบอกลูกศิษย์กรณี ‘เพ่งโทษ’ ครูบาอาจารย์ว่าอย่าคิดอย่าทำ
ครูบาอาจารย์องค์แรกที่หลวงปู่บุญจันทร์พาไปคารวะคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จากนั้นมุ่งไปวัดนิโครธาราม จ.หนองบัวลำภู ที่ไม่ไกลจากวัดถ้ำกลองเพลนัก เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ว่ากันว่าวันที่ไปถึง หลวงปู่อ่อนท่านนุ่งผ้าสบงกับอังสะผืนเดียวนั่งเหลาไม้ทำกลดอยู่ เมื่อหลวงปู่บุญจันทร์มาถึงและกราบคารวะหลวงปู่อ่อนท่านก็เอาจีวรมาพาดบ่าแล้วรับไหว้
มีพระลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงปู่บุญจันทร์นั่งคิดสงสัย...
“ก็ไหนใครต่อใครบอกว่าหลวงปู่อ่อนสำเร็จภูมิธรรมชั้นสูงแล้ว แต่ทำไมไม่มีมารยาทเลย หลวงปู่เรานุ่งห่มเรียบร้อยมากราบ แต่ท่านรับไหว้ไม่เรียบร้อยอย่างนั้นจะถูกหรือ?”
คิดเพ่งโทษปุ๊บ หลวงปู่อ่อนก็หันมาปั๊บ...ท่านเอ่ยคำทันควัน
“ไอ้พวกตาเนื้อตาเน่าจะไปรู้อะไร ดีแต่มัวเพ่งโทษครูบาอาจารย์อยู่หรือไงหือ?”
กลับถึงวัด...ว่ากันว่าหลวงปู่บุญจันทร์เรียกพระรูปนั้นมาเทศน์อบรมกัณฑ์ใหญ่ถึงบาปกรรมในการเพ่งโทษครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะท่านเป็นถึงพระอริยเจ้า ว่าผลกรรมนั้นสาหัสสากรรจ์เพียงใด?
ถึงตรงนี้จึงอยากบอกท่านทั้งหลายว่า...
“รู้อะไรยังไม่แน่ชัด อย่าเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์ อย่าตื่นข่าวตามคำพูดใคร จะมีโทษมากกว่าคุณ...”
ก็ ต้องขอบอกตรง ๆ แหละครับวันนี้มีญาติโยมที่เป็นผู้รู้เยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะตามเว็บไซต์ต่าง ๆ รู้มากจนถึงขนาดนั่งวิพากษ์วิจารณ์ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีศีลถึง 227 ข้อ ขณะที่ตัวเองศีล 5 ข้อยังกะพร่องกะแพร่งเลยครับ พวกตามแห่ก็เลยร่วมแจมกันมันหยด...หารู้ไม่ไฟนรกลุกโชติอยู่บนหัวทุกวันโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมีปุจฉามา...ก็ต้องวิสัชนาไปตามปัญญาขี้เท่อไปตามการณ์ละครับ สำหรับความเห็นของภูเตศวรคือ...
ถ้ามีใครสักคนสอนให้คนถือศีล...ฝึกสติ นำพาผู้คนที่จมอยู่แต่กิเลสมาขัดเกลาให้ดีขึ้น...ผู้นั้นมีคุณประโยชน์กับชาติและพระศาสนา มีค่าควรกราบไหว้บูชา...
สำหรับการดักจิตดักใจสอบอารมณ์ลูกศิษย์ลูกหานั้น ใครคิดอย่างไรไม่รู้ แต่เป็นสิบ ๆ ปีที่ผ่านมาครูบาอาจารย์ของภูเตศวรใช้กระหนาบลูกศิษย์ดื้อ ๆ อย่างเรามานานแล้ว และเราเชื่ออย่างสุดหัวใจครูบาอาจารย์เก่ง ๆ อย่างนี้มีในเมืองไทยเยอะ
ขนาดท่านรู้ท่านสอนอย่างนั้น ทุกวันนี้กิเลสมันยังกดหัวเราซะจนโงไม่ขึ้นเลย...
อยากเพิ่มเติมอีกนิดคือ เรื่องของการปฏิบัติเพื่อก้าวสู่ความพ้นทุกข์ อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า เป็นไปตามจริตนิสัยของแต่ละบุคคล อันไหนทำแล้วก้าวหน้าละวางกิเลส...มีปัญญาได้เร็วก็ทำตามนั้น ถ้าวิธีการของตนไม่เหมือนของคนอื่นก็มิได้หมายความว่าของคนอื่นไม่ดี จริงไหม
สำหรับภูเตศวร หลวงปู่เสน ปัญญาธโร ท่านย้ำอยู่เสมอ...
“เอาแต่โลกธรรมแปดนี่แหละ เข้าใจมันอยู่เหนือมันให้ได้ ก็พอได้อาศัยแล้ว!”
ทุกวันนี้ก็เลยนึกขึ้นได้...แค่อนุโมทนากับความดีที่ผู้อื่นทำ และไม่ริษยาความดีมีชื่อของผู้อื่น คนเรามันยังทำยากเลยครับ...
...เพราะเมตตาธรรมค้ำจุนโลกมันเหลือน้อย...

จึงอยากฝากทุกคนว่า ควรหมั่นเจริญเมตตาให้มาก ๆ โลกปัจจุบันจะได้เย็นขึ้นบ้าง
ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงละก็ ให้ละแล้วต่อกันเถิด เพราะไฟพยาบาทที่เผาใจมันร้อนกว่าไฟนรกนะโยม!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น