++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เรามาสร้างบุญบารมีโดยการให้กันนะคะ

เรามาสร้างบุญบารมีโดยการให้กันนะคะ ก่อนอื่นเรามารู้จักการให้กันก่อนนะ ว่าทำอย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการให้
การให้มีหลายแบบและหลายวิธี แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างที่เราให้นั้นจะเป็นบุญบารมี เสมอไปหรอกนะ ลองไตร่ตรองดู
เราอาจจะไม่ได้สังเกตุผลแห่งการให้สักเท่าไร แต่หากท่านมีอายุมากเหมือนผู้เขียน ท่านก็จะได้เปรียบในการพิจารณาการให้
มีโอกาสได้ทบทวนว่ามีครั้งใดบ้างที่ท่านให้แล้ว ได้บุญบารมีกลับมาหาตัวเองบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องใช้เวลานานพอควร




แบบของการให้มีมากมาย ให้ด้วยความจำเป็น , ให้เพราะหน้าที่ , ให้เพราะอยากให้, และเจตนาหรือเจาะจงให้
และอีกหลายๆแบบแล้วแต่ท่านจะแสดง โดยวิธีที่ท่านเรียกว่าเป็นการให้ เหมือนฉันนี้ไง เวลานี้ฉันอยากให้ เหตุผลที่อยากให้
เพราะฉันได้ผ่านการให้มามากมาย หลายวิธีหลายแบบ แต่ขณะนี้ฉันแก่แล้วโอกาสในการให้ของฉันน้อยลงแล้ว
เพราะสภาพร่างกายไม่อำนวยให้ฉันได้โลดแล่นพบปะผู้คนมากมายเหมือนที่ผ่านมาฉันจึงต้องหาวิธีการให้แบบสมัยใหม่
ก่อนที่่ฉันจะลาโลกนี้ไป ประสบการณ์และความรู้ที่มีอยู่ในตัวฉันนี้ ฉันกำลังยกให้คุณ ฉันจะพยายามให้มันไปกับตัวฉันน้อยที่สุด
เพราะเมื่อฉันลาจากโลกนี้ไปแล้ว ทุกสิ่้งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่มันก็สูญเปล่าไปหมดสิ้น ฉันไม่สามารถเอาไปได้เลยแม้แต่ตัวฉันเอง.....




ตามหลักพระพุทธศาสนาได้สอนให้รู้จักการเป็นผู้ให้ และต้องให้โดยเต็มใจและไม่หวังผลตอบแทนใดๆจากการให้นั้น
การให้ถึงจะเกิดบุญบารมีแก่ผู้ให้ และผลที่จะได้รับก็จะได้รับทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่ หรือได้ลาลับจากโลกใบโปรดนี้ไปแล้ว
ก็อาจจะเป็นได้ สุดจะคาดเดา เพราะยังไม่เคยตาย การให้ที่จะเป็นบุญบารมี และจะมีผลตอบแทนให้ชีวิตท่านพบแต่ความสุขนั้น
มีหลักเพียงง่ายๆเพียง 3 ขั้น่ตอนเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 1. ... ท่านต้องอยากให้ การอยากให้นั้นต้องไม่หวังผลตอบแทนแฝงอยู่ในใจเราเลย เช่น ให้เพราะเห็นว่าเขามีทุกข์
ต้องการช่วยปลดทุกข์ให้เขาน้อยลง เพราะให้แล้วเราก็ไม่ได้เดือดร้อนหรือมีทุกข์กับการให้ในครั้่งนี้แต่อย่างใด
ให้เพราะอยากให้เขาได้รู้ และนำไปใช้กับชีวิตของเขาได้ เรียกได้ว่าให้แบบต่อยอด เพราะความรู้ของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิมแต่มีคนรู้เพิ่มขึ้น
และก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาได้เป็นผู้ให้ด้วย เรียกได้ว่าไม่มีทางสูญหายไปจากโลกอันศิวิไลนี้แน่นอน ที่แน่ๆคือ
ในขณะนั้นจิตเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากให้ และต้องการจะให้ เพราะเห็นแล้วว่าสิ่งที่เราจะให้นั้นสามารถช่วยเขาได้
การให้ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นสิ่งของ เงินทอง วิชาความรู้ หรืออะไรต่อมิอะไรเราให้ได้ทั้งหมดนั่นแหละ แม้แต่คำพูดเรายังให้ได้เลย
ของใช้ที่เรามีและไม่ได้ใช้แล้วและยังใช้ได้ดีอยู่ เราก็แบ่งปันไปให้กับผู้อื่นเพื่อใช้ประโยชน์ เพราะเมื่ออยู่กับเราอาจไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
แต่ถ้าได้อยู่กับผู้อื่นอาจจะเกิดประโยชน์ได้มากมาย เราไม่หวงไว้และต้องการจะให้โดยไม่หวังผลใดๆกลับคืนมา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องไม่ทำให้เราเกิดทุกข์จากการให้ เช่นเสียดายในสิ่งที่ให้เป็นต้น เรียกได้ว่าให้แล้วให้เลย
ไม่หวังผลจากการให้ในทุกครั้งแต่อย่างใด ให้แล้วมีความสุขทุกครั้งจากการให้ มีความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์กับการได้ให้
เรียกได้ว่าแค่คิดจะให้ บุญก็เกิดกับเราแล้วละ นี่แค่เพียงคิดเท่านั้นนะจ๊ะ ยังไม่ถึงการกระทำที่หยิบยื่นให้เลย
" ใจแค่คิดจิตก็เกิดกุศลซะแล้ว "



ขั้นตอนที่ 2 การหยิบยื่นสิ่งที่ต้องการจะให้ แก่ผูู้รับให้ และผู้รับให้ได้รับไว้แล้ว จะด้วยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม
มีข้อแม้เพียงว่า สิ่งที่เราให้นั้นจะต้องก่อเกิดประโยชน์สุขแก่ผู้รับให้จริงๆ อาจจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา หรือช่วยทำให้ผู้รับให้ดีขึ้น
เมื่อได้รับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้ บอกแต่แรกแล้วว่าการให้นั้นไม่จำเป็นจะต้องมีตัวตนหยิบยื่นได้ แม้แต่คำพูดที่ดีหรือ
การแนะนำสั่งสอนให้รู้และเป็นแนวทางที่ดี ก็ถือว่าเป็นการให้ทั้งสิ้น แต่มีข้อแม้เพียงว่าจะต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆจากการให้ในครั้งนี้
เพราะถ้าเราหวังผลตอบแทนกลับคืนมา ก็ไม่เรียกว่าเป็นการให้ ซึ่งในปัจจุบันเรามักจะหลงเข้าใจผิดกันอยู่บ่อยๆ
ว่าเมื่อเราให้ไปแล้วนี่ก็ต้องตอบแทนบุญคุณกับเราบ้างละ หรือได้ดีเพราะเรา ถ้าคิดหรือพูดเช่นนี้ การกระทำของท่านจะไม่เรียกว่าการให้เลย
หลักใหญ่ๆของการให้ ก็คือ การทำให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ หรือ ทุกข์น้อยลง และมีความสุข นั่นเอง
หรือจะเรียกว่าขั้นตอนนี้คือขั้นตอนการปฏิบัติให้เป็นไปตามความคิดของข้อที่ 1 นั่นแหละ และเมื่อท่านทำได้ตามนี้แล้ว
บุญท่านเกิดขึ้นแล้วเต็มๆเชียวละ สำหรับบารมีนั้นแน่นอนหากผู้รับให้พอใจในการให้ของเรา และได้กล่าวถึงการให้ของเรา
อย่างเป็นสุข และสามารถบอกเล่าให้ผู้อื่นได้รู้แบบไม่รู้เบื่อนั่นแหละ บารมีเกิดขึ้นกับตัวท่านแล้วละ มันเกิดขึ้นเองไม่ต้องไปหา
ไม่ต้องไปทำให้มันเกิดหรอก เกิดจากความบริสุทธิ์ในการให้ท้ังนั้น ต่อยอดมาจากบุญที่เราได้ทำขึ้นมาด้วยใจเราเองทั้งสิ้น
ไม่ต้องไปสั่งให้ใครทำให้หรอกนะจ๊ะ บุญบารมีเกิดขึ้นได้จากการกระทำของตัวเราเองทั้งสิ้น



ขั้นตอนที่ 3 ความสุขเมื่อได้ให้ไปแล้ว ความสุขนี้เกิดจากการที่เราได้ให้ไปแล้ว มันคือความรู้สึกของตัวเราเอง
ว่าเรามีความสุขที่ได้ให้ในครั้งนี้ สุขจริงๆ ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆที่จะย้อนกลับคืนมาหาเราหรอก ไม่แม้แต่จะคิด
อิ่มเอม ปรีดิ์เปรม ในความสุขที่ได้ให้ แม้ว่าผู้ที่รับให้จะพึงพอใจหรือไม่ก็ตาม เพียงแต่เราเห็นแล้วว่ามันจะก่อเกิดประโยชน์แก่ผู้รับให้
สามารถช่วยผ่อนเบาทุกข์แก่ผู้รับให้ได้บ้าง หรือช่วยให้ผู้รับให้ไม่ต้องอับจน แม้จะยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้หมด
แต่ก็ยังมีความสุขคืนมาได้บ้าง แค่นี้แหละ บุญที่ท่านทำโดยการให้ก็สมบูรณ์แล้วละ




สรุปการให้ก็คือ คิดที่จะให้ กระทำโดยการให้ และอิ่มเอมเปรมปรีดิ์กับการให้ในแต่ละครั้ง
ไม่เอาผู้รับให้มาเป็นตัวกำหนด แต่เรากำหนดการให้ด้วยใจและตัวของเราเอง เพราะฉะนั้น การให้จึงไม่มีข้อกำหนดใดๆ
ว่าจะต้องเป็นการให้เฉพาะตัวหรือเป็นการให้เป็นกลุ่มหรือหมู่คณะ เพราะทุกอย่างขึ้นกับตัวเรา และ ใจเราทั้งสิ้น
เขาเรียกบุญสำเร็จแล้วด้วยการให้นะจ๊ะ เคยสังเกตุตัวเราไม๊ล่ะว่าบางครั้งเราอยากได้อะไรถึงได้มาโดยไม่คาดฝัน
ทำไมชีวิตเราช่วงนี้ถึงได้ดีนัก มีความสำเร็จในทุกด้านตามที่ใจปรารถนา หรือ มีโชคมีลาภมาปรนเปรอมิได้หยุด อะไรจะปานนั้น
แต่ที่แน่ๆ สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดจากบุญที่เราได้สร้างสมมาทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวทั้งสิ้น แต่ถ้าหากเราหลงไหลได้ปลื้ม
หรือหลงในบุญบารมีที่เกิดขึ้นมากับเราแล้วละก็ ชีวิตท่านก็จะกลับเข้าสู่วงเวียนแห่งทุกข์ต่อไป มิจบมิสิ้นหรอกนะจ๊ะ
เขาเรียกว่าความประมาทน่ะ ชีวิตเรานั้นไม่ยืนยาวชั่วกาลนานหรอกนะ เราควรเร่งสร้างบุญโดยการเป็นผู้ให้กันเถิด อมิตพุทธ




ในที่สุดนี้ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขกับการให้ในครั้งนี้ ขอให้ท่านสุขทั้งกาย สุขทั้งใจ
คิดและหวังสิ่งใดขอให้สมความปรารถนาดังใจหวังนะจ๊ะ เอวังละนะ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น