มาตังคบรมโพธิสัตว์
ในอดีตเป็นเมื่อครั้ง พระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสี พระมหาสัตว์เจ้าได้บังเกิดในกำเนิดตระกูลคนจัณฑาลมีนามว่า มาตังคมาณพ เพราะเหตุที่มีปัญญา ภายหลังจึงมีชื่อว่า มาตังคบัณฑิต ในเมืองนั้นมีธิดาเศรษฐีชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา วันหนึ่งนางได้เห็นพระโพธิสัตว์ทางช่องม่าน ข้างประตูอุทยาน เมื่อรู้ว่าเป็นคนจัณฑาล จึงล้างตาด้วยน้ำหอม แล้วกลับไปจากที่นั้น พวกบริวารของนางไม่ได้กินเหล้ากัน ก็พากันโกรธ ได้ประทุษร้ายมาตังคบัณฑิตจนสลบ แล้วพากันหลบหนีไป เมื่อมาตังคบัณฑิตฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงคิดว่าผู้คนของนางทิฏฐมังคลิกาโบยตีเราผู้หาความผิดมิได้ ถ้าเราไม่ได้นางมา เราจะไม่ลุกขึ้น
ครั้นตั้งใจดังนี้แล้ว จึงได้ไปนอนลงที่ประตูบ้านบิดาของนาง ได้นอนอยู่ ๖ วัน ก็ยังไม่ได้ลุกไปไหน ธรรมดาว่าการอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จ เพราะฉะนั้นในวันที่ ๗ คนทั้งหลายจึงได้พานางทิฏฐมังคลิกามามอบให้ นางทิฏฐมังคลิกาจึงกล่าวขึ้นว่า
"ลุกขึ้นเถิดนาย เราพากันไปบ้านของท่านเถิด" มาตังคบัณฑิตจึงกล่าวว่า
"บริวารของเจ้าทุบตีเราเสียบอบซ้ำแล้ว เจ้าจงยกเราขึ้นหลังแล้วพาไปเถิด"
นางก็ทำตามสั่ง ได้ออกจากพระนครไปต่อหน้าชาวพระนคร ที่พากันมามุงดูแล้วก็ได้ไปสู่บ้านคนจัณฑาล ในคราวนั้น พระมหาสัตว์เจ้ามิได้ล่วงเกินนาง ให้ผิดประเพณีแห่งเผ่าพันธุ์วรรณะให้นางพักอยู่ที่เรือนของตน ๒ - ๓ วัน แล้วคิดว่า เราจะทำให้นางถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภยศนั้น เราจักต้องบรรพชาจึงจะทำให้ได้ นอกจากนี้แล้วไม่มีทางทำได้
มาตังคฤๅษีผู้มีฤทธิ์ เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงบอกนางว่า จะไปในป่า ขอให้รออยู่ที่นี้จนกว่าจะกลับมา และได้สั่งคนในบ้านให้เอาใจใส่ต่อนาง แล้วก็ออกไปบรรพชาเป็นฤๅษีอยู่ในป่า ตั้งในเจริญสมณธรรมพอถึงวันที่ ๗ ก็ได้สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ จึงคิดว่า บัดนี้เราอาจเป็นที่พึ่งของนางทิฏฐมังคลิกาได้แล้ว จึงเหาะไปลงที่ประตูบ้านคนจัณฑาล แล้วเดินไปสู่ประตูเรือนของนาง
ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาออกมาต้อนรับแล้วรำพันต่าง ๆ นานา พระมหาสัตว์จึงปลอบโยนนางว่า
"เจ้าอย่าเสียใจไปเลย คราวนี้เราจะทำให้เจ้ามียศใหญ่ยิ่งกว่ายศที่มีอยู่เก่าของเจ้า ก็แต่ว่าเจ้าสามารถพูดในที่ประชุมชนได้ไหมว่ามาตังคบัณฑิตไม่ใช่สามีของเรา ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของเรา"
นางทิฏฐมังคลิกาก็รับว่าได้ แล้วพระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวต่อไปว่า
"ถ้าอย่างนั้นเมื่อมีผู้ถามว่า เวลานี้สามีของเจ้าไปไหน ให้ตอบว่าไปพรหมโลก เมื่อเขาถามว่าจะกลับมาเมื่อไร ให้ตอบเขาว่านับแต่วันนี้ไปอีก ๗ วัน ท้าวมหาพรหมผู้เป็นสามีของเรา จักแหวกพระจันทร์มาในวันเพ็ญ"
ครั้นกล่าวกับนางอย่างนี้แล้ว ก็เหาะกลับไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เที่ยวประกาศอย่างนั้นในท่ามกลางมหาชน มหาชนก็เชื่อว่าอาจจะเป็นได้ เพราะถ้าไม่เป็นไปได้ นางทิฏฐมังคลิกาก็จะได้ประโยชน์อะไรในการกล่าวเช่นนี้
ฝ่ายพระโพธิสัตว์พอถึงวันเพ็ญดวงจันทร์เด่นอยู่ในท้องฟ้า ก็จำแลงตัวเป็นท้าวมหาพรหม เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วแว่นแคว้นกาสีแล้วชำแรกแทรกออกมาจากดวงจันทร์ ลงมาเลื่อนลอยรอบเมืองพาราณสีถึง ๓ รอบ เมื่อมหาชนพากันบูชาอยู่ด้วยดอกไม้และของหอม เป็นต้น ได้บ่ายหน้าไปหมู่บ้านคนจัณฑาล พวกพรหมภัต คือพวกจัดเครื่องต้อนรับพระพรหม ก็ได้พร้อมกันไปที่บ้านคนจัณฑทาล ครั้นเขาตกแต่งบ้านเรือนของนางทิฏฐมังคลิกาเสร็จแล้ว พระมหาสัตว์เจ้าก็ลงมาจากอากาศ เข้าไปนั่งอยู่บนที่นอนสักครู่หนึ่ง ในเวลานั้นนางกำลังมีระดู จึงลูบสะดือของนางด้วยปลายนิ้วมือ แล้วนางก็ตั้งครรภ์ขึ้น ต่อมาพระมหาสัตว์เจ้าจึงบอกว่า
"เจ้าจักได้ลูกเป็นผู้ชาย เจ้ากับบุตรจักเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยลาภยศ เพียงแต่น้ำอาบของเจ้าก็จะเป็นยาวิเศษ รดศีรษะผู้ใด ผู้นั้นจะหายจากโรคทั้งปวง ผู้ที่กราบไหว้จักให้ทรัพย์แก่เจ้า เจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด"
ครั้นให้โอวาทนางแล้ว ก็ได้ออกจากเรือน แล้วเลื่อนลอยขึ้นไปบนอากาศ ต่อหน้ามหาชนที่กำลังดูอยู่ แล้วเข้าไปสู่ดวงจันทร์
มัณฑพยกุมาร
พวกพรหมภัตจึงได้ให้นางทิฏฐมังคลิการขึ้นนั่งบนสุวรรณสีวิกา แล้วยกขึ้นทูนศีรษะของตนพาเข้าไปสู่พระนคร มหาชนต่างก็พากันบูชากราบไหว้ได้ทรัพย์ถึง ๑๘ โกฏิ โดยเชื่อถือว่าเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหม ครั้งพวกพราหมณ์นำไปรอบพระนครแล้ว ได้สร้างมณฑปใหญ่ขึ้นในท่ามกลางพระนคร แล้วให้นางทิฏฐมังคลิกาอยู่ที่นั้นและเริ่มก่อสร้างปราสาท ๗ ชั้น ไว้ที่ใกล้มหามณฑปนั้น ต่อมานางก็ได้คลอดบุตรในมณฑปนั้นเอง พราหมณ์จึงขนานนามกุมารว่า "มัณฑพยกุมาร" อีก ๑๐ เดือน ปราสาทจึงสำเร็จลงนางจึงอยู่ที่ปราสาทนั้น
มัณฑพยกุมารนั้นก็เจริญขึ้นด้วยบริวารเป็นอันมาก ได้ศึกษาวิชาไตรเพทจนอายุได้ ๑๖ ปี ก็เริ่มตั้งพิธีเลี้ยงพวกพราหมณ์เป็นนิจไป ในขณะนั้นเอง มาตังคบัณฑิตนั่งอยู่ที่อาศรมบทในป่าหิมพานต์ ได้เล็งดูเหตุการณ์ก็ทราบว่า ความประพฤติแห่งบุตรโน้มเอียงไปในลัทธิอันไม่สมควร จึงคิดว่าวันนี้เราจักไปฝึกมาณพนั้น ให้รู้ว่าให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก คิดดังนี้แล้ว ก็ได้ไปที่สระอโนดาตโดยทางอากาศ ลงอาบน้ำชำระกายแล้วก็ขึ้นยืนอยู่ที่มโนศิลา ได้นุ่งผ้าสองชั้นคาดประคตเอวแล้วห่มผ้าจีวรผืนใหญ่ ถือเอาบาตรเหาะมาลงยืนอยู่ที่โรงทานซุ้มประตูที่ ๔ มัณฑพยกุมารได้เห็นมาตังคฤๅษี ผู้จำแลงเพศเป็นภิกษุ จึงกล่าวว่า
"ท่านนุ่งห่มด้วยผ้าขี้ริ้วสกปรกเหมือนปีศาจเล่นฝุ่น ท่านไม่สมควรแก่การถวายทานของเรา"
พระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวว่า
"อาหารที่ท่านจัดไว้ให้พราหมณ์ทั้งหลายนั้น ก็ควรจะให้ทานแก่เราผู้เลี้ยงชีวิตด้วยอาหารผู้อื่นให้เช่นกัน แม้ถึงจะเป็นคนจัณฑาลก็ขอจงให้อาหารแก่เราบ้างเถิด"
แต่มัณฑพยกุมารก็ไม่ยอมให้ กลับขับไล่ออกไป พระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวว่า
"ชาวนาผู้หวังผลย่อมหว่านพืชลงในที่ลุ่มบ้าง ในที่ดอนบ้าง ในที่เสมอไม่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ บ้างฉันใด ท่านจงให้ทานแก่บุคคลทั้งปวงด้วยศรัทธานี้ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ดีกุมารก็จักได้บุคคลที่ควรแก่การถวาย"
มัณฑพยกุมารจึงกล่าวต่อไปว่า
"เรารู้ดีว่านาเหล่าใดเป็นนาดีในโลก เรารู้ดีว่าการหว่านพืช คือให้ทานแก่พวกพราหมณ์ที่สมบูรณ์ด้วยชาติตระกูล และด้วยความรู้นี้เป็นทางได้ผลดี"
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าจึงว่า
"ความเมาด้วยชาติตระกูล ความถือตัวเกินไป และโลภะ โทสะ โมหะ เหล่านี้มีอยู่ในพวกใด พวกนั้นไม่จัดว่าเป็นเขตอันดี เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในพวกใด พวกนั้นจึงจัดว่าเป็นเขตอันดี"
มัณฑพกุมารไม่พอใจจึงให้นายประตูขับไล่ออกไป พวกนายประตูยังมาไม่ทันถึงตัวพระมหาสัตว์เจ้าก็ขึ้นไปยืนบนอากาศต่อหน้าคนทั้งหลายแล้วกล่าวว่า
"ผู้ใดด่าว่าฤๅษี ผู้นั้นชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟัน ชื่อว่าพยายามกลืนกินไฟ"
ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงเหาะไปต่อหน้ากุมารและพราหมณ์ทั้งหลาย บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก ไปลงที่ถนนสายหนึ่งแล้วอธิษฐานว่า ขอจงให้รอยเท้าของเราปรากฏอยู่ในที่นี้ แล้วก็เที่ยวไปบิณฑบาตได้อาหารแล้ว ก็นั่งฉันอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง
อานุภาพแห่งเทพยดา
ฝ่ายเทวดาผู้รักษาพระนครนั้น ก็คิดว่ามัณฑพยกุมารได้กล่าวเบียดเบียนพระผู้เป็นเจ้าของเรา จึงจับศีรษะของกุมารและพวกพราหมณ์ทั้งหลายบิดให้เหลียวหลังไป นอนตัวแข็งทื่อตาค้าง อ้าปากน้ำลายไหลกลิ้งไปมา คนทั้งหลายจึงไปแจ้งนางทิฏฐมังคลิกาว่า มีสมณะองค์หนึ่งนุ่งห่มผ้าขาดเป็นริ้วรอยเข้ามาในที่นี้ บุตรของพระแม่เจ้าจึงเป็นอย่างนี้
นางจึงคิดว่าเราจักไปเที่ยวค้นหาสามีของเรา แล้วสั่งให้ทาสและทาสีถือคณโฑน้ำทองคำเที่ยวติดตามไป ได้เห็นรอยเท้าที่พระมหาสัตว์เจ้าอธิษฐานไว้ ก็รีบติดตามไปได้พบในขณะกำลังนั่งฉันอาหารอยู่ที่ศาลานั้น นางจึงเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงยกมือไหว้
พระมหาสัตว์เจ้าได้เห็นนางมาถึง จึงเหลือข้าวสุกไว้ก้นบาตรแสดงอาการอิ่มแล้ว นางจึงน้อมคณโฑเข้าไปถวาย และกล่าวถามถึงเหตุดังกล่าวนั้น มาตังคฤๅษีตอบว่าเป็นเพราะยักษ์ผู้รักษาพระนคร รู้จักคุณธรรมของพวกฤๅษี ทราบว่าบุตรของเจ้าคิดร้ายต่อฤๅษี จึงได้ทำบุตรของเจ้าให้เป็นอย่างนี้
นางทิฏฐมังคลิกาจึงขอโทษว่า ยักษ์ทั้งหลายโกรธแล้ว ท่านอาจทำให้หายได้โดยน้ำเพียงจอกเดียว ข้าพเจ้าไม่กลัวยักษ์สักนิดเดียว กลัวท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ผู้เดียวเท่านั้น ขอท่านจงเมตตาอย่าได้โกรธบุตรข้าพเจ้าเลย
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า เมื่อกี้บุตรของเจ้าด่าเรา เราก็ไม่คิดร้ายต่อบุตรของเจ้า ก็แต่ว่าบุตรของเจ้ากำลังมัวเมาว่ารู้ศิลปศาสตร์ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ จึงได้รับโทษอย่างนี้ กล่าวดังนี้แล้วจึงให้ข้าวสุกที่เหลือ เพื่อหยอดเข้าไปในปากของบุคคลเหล่านั้น นางจึงแบ่งข้าวนั้นหยอดลงในปากแห่งบุตรของตน แล้วยักษ์ที่รักษาพระนครก็หนีไป มัณฑพยกุมารฟื้นขึ้นมาจึงพากันไปดูพวกพราหมณ์ที่ยังสลบอยู่ นางทิฏฐมังคลิกาจึงสั่งสอนว่า
"เจ้ายังมีปัญญาน้อย ไม่รู้จักว่าให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก เพราะการให้ทานแก่ผู้มีกิเลส ไม่มีการสำรวม มีแต่กรรมเศร้าหมอง ถึงให้ทานมาก ก็ย่อมมีผลน้อย นี่แน่ะมัณฑพยะ ผู้รับการถวายทานของเจ้า บางคนก็รวบเกล้าทำเป็นชฎา นุ่งผ้าหนังเสือ มีหน้ารุงรังด้วยหนวดเครา เจ้าจงพิจารณาดูซึ่งผู้ที่ทำตนให้หม่นหมองอย่างนี้ การมุ่นเกล้าให้เป็นชฎาและนุ่งผ้าหนังสือเช่นนี้ หาป้องกันผู้มีปัญญาน้อยได้ไม่
ท่านเหล่าใดสำรอกราระ โทสะ และ อวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์แล้ว ทานที่บุคคลถวายย่อมมีผลมาก"
นางทิฏฐมังคลิกากล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเตือนให้ช่วยพวกพราหมณ์กินยาอันไม่รู้จักตายนั้น แล้วเทข้าวสุกที่เหลืออยู่นั้นลงในตุ่มน้ำ ขยำให้ดี แล้วจึงตักน้ำหยอดเข้าไปในปาก พวกพราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคนนั้นก็ได้สติลุกขึ้นทันที
ลำดับนั้น พวกพราหมณ์อื่นจากพวกนี้ก็พากันติเตียนว่า พวกพราหมณ์เหล่านี้ได้กินน้ำเหลือเดนของคนจัณฑาล ทำให้เสียชาติตระกูล จึงพร้อมกันทำพราหมณ์เหล่านั้นไม่ให้เป็นพราหมณ์อีกต่อไป
พราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคนก็ละอายใจได้ยกครอบครัวออกจากเมืองพาราณสี ไปอยู่กับ พระเจ้าเมชฌราช ในเมชฌนครเสีย
ทรมานดาบสผู้มีมานะ
ในคราวนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งบวชเป็นดาบส อาศัยอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเวตวดี แต่เป็นผู้มีมานะจนเกินการ พระมหาสัตว์เจ้าได้ทราบ จึงคิดทำลายมานะของดาบสนี้เสีย แล้วจึงไปอาศัยอยู่เหนือแม่น้ำเวตวดีได้อธิษฐานขอให้ไม้สีฟัน ไปติดอยู่ที่ชฎาของดาบสนี้ ไม้สีฟันก็ลอยไปติดอยู่ที่ชฎาในขณะที่ดาบสนั้นลงอาบน้ำ
ดาบสนั้นจึงด่าขึ้นว่า อ้ายคนฉิบหาย อ้ายคนชั่วร้าย แล้วคิดว่าอ้ายคนกาลกิณีนี้มาจากไหน จึงทิ้งสิ่งที่โสโครกมา เราจักไปดู แล้วก็ขึ้นเดินไปตามฝั่งแม่น้ำ จึงได้เห็นพระโพธิสัตว์ จึงถามว่าท่านมาจากไหนท่านเป็นคนชนิดใด พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า เรามาจากป่าหิมพานต์ เราเป็นคนชาติจัณฑาล ดาบสจึงถามว่า ท่านทิ้งไม้สีฟันลงในน้ำบ้างหรือ พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่าทิ้งลงไป ดาบสนั้นจึงได้ด่าว่า เจ้าคนถ่อย เจ้าอย่าอยู่ในสถานที่นี้ จงไปอยู่เสียด้านใต้ของแม่น้ำ พระมหาสัตว์เจ้าก็ไปนั่งอยู่ด้านใต้ของแม่น้ำ แล้วทิ้งไม้สีฟันลงไป ไม้สีฟันนั้นก็กลับไหลทวนน้ำ ไปติดอยู่ชฎาของดาบสนั้นอีก ดาบสนั้นก็โกรธแล้วสาปแช่งว่า อ้ายคนจัญไรถ้าเจ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ศีรษะของเจ้าจักแตกเป็น ๗ ภาค ภายใน ๗ วัน
พระมหาสัตว์เจ้าจึงคิดว่า ถ้าเราโกรธขึ้นบ้าง เราก็อาจทำให้ดาบสนี้ฉิบหาย แต่ศีลที่เรารักษาไว้ก็จะเสียไป เราจะทำลายมานะดาบสนี้ด้วยอุบายวิธีของเรา พอถึงวันที่ ๗ จึงบันดาลไม่ให้ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นในท้องฟ้า คนทั้งหลายพากันวุ่นวายเข้าไปหาดาบสนั้นว่า เหตุไรท่านจึงไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นดาบสนั้นตอบว่า เราไม่ได้ทำ เห็นมีแต่ดาบสจัณฑาลผู้หนึ่งคงเป็นผู้ทำ
คนเหล่านั้นจึงพากันไปไต่ถามพระโพธิสัตว์ ท่านจึงได้เล่าความเป็นไปให้ฟังว่า เมื่อให้ดาบสนั้นมากราบที่เท้าเพื่อขอโทษต่อเรา แล้วเราก็จะให้พระอาทิตย์ขึ้น คนทั้งหลายจึงพากันไปช่วยจับดาบสนั้นฉุดคร่าให้มาหมอบที่เท้าของพระมหาสัตว์เจ้าเพื่อให้ขอโทษ แล้วอ้อนวอนของให้พระอาทิตย์ขึ้นเถิด
พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า เรายังให้ขึ้นไม่ได้ ถ้าเราปล่อยให้ขึ้น ศีรษะของดาบสนี้ก็จักแตก ๗ เสี่ยง เขาจึงถามว่าจะให้ทำอย่างไร พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า ท่านจงไปเอาก้อนดินเปียก ๆ มาพอกศีรษะ แล้วให้ดาบสนี้ลงไปอยู่ในน้ำ พอศีรษะของดาบสต้องแสงอาทิตย์ ดินเหนียวที่พอกศีรษะนั้นก็จะแตก แล้วให้ดาบสนี้ดำน้ำหลบหนีไป เมื่อทำได้อย่างนี้ ดาบสนี้จะพ้นจากความตาย
คนทั้งหลายก็พากันกระทำตามทุกประการ พระมหาสัตว์เจ้าจึงคลายอิทธิปาฏิหาริย์ ปล่อยให้ดวงอาทิตย์ขึ้น พอแสงอาทิตย์ขึ้นก็เป็นไปตามนั้นทันที
มาตังคฤๅษีถูกลอบทำร้าย
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าทรมานดาบสให้สิ้นพยศแล้ว จึงนึกถึงพวกพราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคน ได้ทราบว่าเขาพากันไปอยู่กับพระเจ้าเมชฌราช จึงเหาะไปลงที่มุมเมืองเมชฌนครแล้วถือบาตรเที่ยวภิกขาจารไป พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้เห็นจึงปรึกษากันว่า มาตังคฤๅษีได้มาอยู่ในเมืองนี้แล้ว ไม่ช้าเขาก็จักทำพวกเราให้หาที่พึ่งไม่ได้ จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าเมชฌราชว่า วิชาธรซึ่งพวกข้าพระพุทธเจ้าเคยรู้จักได้เข้ามาในเมืองนี้แล้ว ขอพระองค์จงให้จับฆ่าเสีย
ฝ่ายมหาสัตว์เจ้าพอบิณฑบาตได้แล้ว ก็ไปนั่งฉันอยู่ชายคาเรือนแห่งหนึ่ง พระเจ้าเมชฌราชจึงตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษติดตามไป พอเขาได้เห็นพระมหาสัตว์เจ้ากำลังนั่งฉันอาหารอยู่โดยไม่รู้ตัว ก็พากันแอบเอาดาบฟันคอของพระมหาสัตว์เจ้าให้ขาดสะบั้น แล้วพระมหาสัตว์เจ้าก็ได้ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก เทวดาทั้งหลายพากันโกรธเคือง จึงบันดาลให้เป็นฝนเถ้ารึงอันร้อนตกลงมาทั่วเมชฌนคร ไหม้สิ่งของทั้งปวงไม่มีเหลือ พระเจ้าเมชฌราชากับทั้งประชาชนก็ถึงซึ่งความพินาศสิ้น ต่อมาภายหลัง มัณฑพยกุมาร ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้าอุเทน ผู้คิดเบียดเบียนบรรพชิต ส่วน มาตังคบัณฑิต ได้มาเกิดเป็นพระพุทธองค์ สิ้นเนื้อความใน มาตังคชาดก แต่โดยย่อเพียงเท่านี้
ความในใจ
ตอบลบเหลือบเห็นทีแรก มองเห็นว่าตั้งชมรมพระโพธิสัตว์ ยังนึกว่าชมรมพระโพธิสัตว์ยุคดิจิทอล ทันสมัยทันยุคจริงๆ อ่านอีกทีไม่ใช่เป็นประวัติพระบรมโพธิสัตว์ 'มาตังคบรมโพธิสัตว์'
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคิดว่าบรรดาผู้ยังมุ่งสายพระโพธิสัตว์ มีภารกิจเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่จะขอเสนอเอาไว้ให้บรรดาพระโพธิสัตว์ทุกท่านได้รับไปพิจารณา และหากเห็นด้วย ว่าเอาละ จะเพิ่มบารมีในการช่วยเหลือประเทศชาติ โดยให้บรรดาผู้ใช้มือถือทุกค่าย ได้มีโอกาสใช้ 3.9G กับ SSN ซึ่งมีท่านพลเอก พิเชษฐ์ วิสัยจร เป็นประธาน กันให้เต็มประเทศ ก่อนสิ้น พ.ค. 2555
โดยบรรดาท่านพระโพธิสัตว์ทุกท่าน มาทำงานง่ายๆ บอกต่อเพื่อนๆผู้ใช้มือถือออกไปอีกคนละ 10 ในแต่ละสัปดาห์
โดยมีข้อแม้ว่าเมื่อเข้าใจวัตถุประสงค์ของการช่วยกันป้องกันเม็ดเงินไทยไหลออกนอกปีละ 500,000 ล้านบาทแล้ว มารักษาเงินค่ามือถือทั้งประเทศนี้ ให้หมุนเวียนอยู่ในประเทศ ให้ลูกหลานไทยสบายขึ้น นำค่าการตลาดเดือนละประมาณ 8,000 ล้านบาทมาแบ่งปันระหว่างผู้บริโภค
โดยผู้ทราบข่าวพาตนเองและครอบครัวมาเข้าระบบกับ SSN ให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงนำไปบอกต่อเพื่อนๆอีก 10 คน จะได้มาอยู่ทีมเดียวกัน ทำภารกิจชาติให้ลุล่วงต่อไป
และขอให้บรรดาพระโพธิสัตว์ทุกท่านทั้งกายเนื้อและกายพลังงานก็ตามมาระดมพล ช่วยทำภารกิจวาระแห่งชาติครั้งนี้ให้ลุล่วง เพื่อสร้างสมบารมีของแต่ละท่านร่วมกันต่อไป ข้าพเจ้าขอร่วมโมทนาด้วยทุกๆวัน
มาลงรายละเอียดที่ http://ainews1.com/article831.html
และขอให้พระโพธิสัตว์ทุกท่านถือว่าวาระแห่งชาติกับ 3.9 G เป็นเรื่องเร่งด่วนแห่ง ปี 2555
ผู้เสนอวาระ
สมศักดิ์ อรรถวรรณ P.E.774
http://www.ainews1.com