-เกิดอาการปรี๊ดแตก ผิดหวังและเกิดคำถามตามามากมายในฉับพลันทันทีที่ปรากฏข่าว “นายสุริยะใส กตะศิลา” แกนนำกลุ่มกรีน อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ “ตุ๊ดตู่-นายจตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคนสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดง ไปออกรายการ “เช้าดูวู้ดดี้” ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ซึ่งมี “นายวุฒิธร มิลินทจินดา” เป็นพิธีกร
ยิ่งเมื่อได้เห็นภาพที่ยะใส “จับมือ” กับ “เดอะคางคก” อย่างหวานชื่นบนโซฟาเดียวกัน โดยมีนายวู้ดดี้ยืนทำหน้าแป้นแล้นอยู่ด้านหลังด้วยแล้ว เล่นเอาบรรดา “พ่อยกแม่ยก” ถึงกับรับไม่ได้และระดมกันเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์หรือจะใช้คำว่า “ก่นด่า” นายสุริยะใสก็คงจะว่าได้
นี่ไม่นับรวมถึงถ้อยคำที่ทั้งสองคนให้สัมภาษณ์นายวู้ดดี้ในประเด็นอุดมการณ์ทางการเมืองและความสัมพันธ์อันหวานชื่นที่ทุกถ้อยคำ ทุกประโยคได้กลายเป็นบาดแผลที่ร้าวลึกในหัวใจของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนยากที่จะหาคำอธิบายใดๆ มาอธิบายให้เข้าใจได้
“จริงๆ ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว สุริยะใสเป็นคนที่มีไมตรีจิตที่ดีเสมอมา มีความห่วงใยให้เพื่อนฝูงเสมอ ในประชาธิปไตยคือความแตกต่างและความแตกต่างนั้นแหละคือความงดงามที่ซ่อนอยู่”นายจตุพรกล่าวถึงนายสุริยะใสอย่างหวานชื่น
เฉกเช่นเดียวกับนายสุริยะใสที่กล่าวถึงนายจตุพรอย่างเลอเลิศในท่วงทำนองเดียวกันว่า “ตู่เป็นคนที่มีอัธยาศัยดี พูดคุยตลก เป็นกันเอง เวลาคุยกันในหมู่เพื่อนๆ ก็สนุกไปกับมุกของเขา ไปเล่าให้น้องๆ ในกลุ่มฟัง ไม่มีใครเชื่อว่า ตู่เป็นคนตลกเลย แต่จริงๆ เขาเป็นคนตลกมาก”
แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือทั้งคู่ได้ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ยังมีนัดทานข้าวกันอยู่บ้าง โดยมีพรรคพวกชักชวนกัน ก็มาเจอกัน ทานข้าวพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติทางการเมืองกันเป้ฯเรื่องปกติ”
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวทางเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์(www.manager.co.th) ก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกที่พันธมิตรฯ มีต่อนายสุริยะใสได้เป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น ความคิดเห็นที่ 5 ระบุว่า เสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่บาดเจ็บ ล้มตาย พลัดพรากจากครอบครัว คนอันเป็นที่รัก เห็นภาพนี้แล้วคงมีความสุขกาย สุขใจ ในน้ำมิตรไมตรี ที่สองแกนนำ แดง-เหลือง มาเปิดเผยสัมพันธ์ว่า เป็นเพื่อนซี้ต่างขั้วกัน รู้จักกันมา 20 กว่าปี ดีต่อกัน ไม่เคยขอกัน....แม้กระทั่งชีวิตของคนฝ่ายตัวเอง ซึ่งอยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้...นี่แหละมั้งที่เขาเรียกว่า "พ่อค้าประชาธิปไตย นักรบที่มีซากศพประชาชนเป็นเหรียญกล้าหาญ" มันเป็นเช่นนี้เอง
ส่วนความคิดเห็นที่น่าสนใจ เช่น ความคิดเห็นที่ 53 ระบุว่า ถึงยะใส ถ้าความจำยังดี รายการนี้เริ่มด้วยประทานสัมภาษณ์ฟ้าหญิงองค์เล็กและมีประโยคหนึ่งที่คนไทยอย่างกรูฟังแล้วอึ้ง ฟ้าหญิงตรัสว่า...ขอความเป็นธรรมให้พระเจ้าอยู่หัวบ้าง.... หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไอ้ตู่คางคกก็บอกว่าอยากจะออกรายการวู้ดดี้บ้าง เพื่อเทียบชั้นจะอะไรก็ตาม ถามยะใสว่ามันสมควรหรือไม่ ผมไม่คิดว่าคนกินข้าววันละสามมื้ออย่างผมเช่นยะใส จะเป็นคนอัปรีย์ จังไร ขนาดไปสัมผัสเกลือกกลั้วกับคนเลวชาติอย่างไอ้คางคก จาก คนไทยไม่คบคนเผาบ้านเผาเมือง
ความคิดเห็นที่ 172 ระบุว่า คุณสุริยะใส ครับ คุณบอกว่าคุณปกป้องสถาบัน ส่วนอ้ายตู่คุณก็พูดอยู่ว่ามันคิดล้มล้างสถาบันแต่คุณทะลึ่งไปจับมือกับมัน คมกับมัน ถ้าเป็นผมนะเจออ้ายตู่ต่อยปากเอาเลือดชั่วมันออกแล้ว หรือไม่ก็ตายกันไปข้างหนึ่ง อ้ายตู่มันเป็นคนไทยใจเขมร บ้านคุณอยู่ติดชายแดนเขมร คุณไม่เจ็บปวดบ้างหรือที่อ้ายตู่ไปกราบฮุนเซน ซึ่งเอาอาวุธมาเข่นฆ่าทหารไทย คนไทย จาก คนหน้าไม่กลม
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางความเห็นที่มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลก เช่น ความคิดเห็นที่ 23 ระบุว่า ความจริงเหตุการณ์อย่างนี้มีอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ไม่เห็นแปลก ก็สามี ภรรยา ที่ต่างขั้ว ก็ยังมีเลย มันเป็นเส้นแบ่งที่ต่างก็รู้ การเป็นเพื่อนกัน ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าในอนาคตจะแปลกแยก ไม่สามารถที่จะไปบังคับพฤติกรรมของใครๆได้ ขอเพียงให้รู้ว่าตัวเองเป็นใครเท่านั้น ก็ทีขั้วเดียวกันยังเปลี่ยนสีได้
ฯลฯ
นี่คือส่วนหนึ่งของความคิดเห็นที่มีต่อนายสุริยะใส กระทั่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับนายสุริยะใส
ทำไมเขาถึงตัดสินใจไปออกรายการร่วมกับนายจตุพร แกนนำคนเสื้อแดงที่พันธมิตรฯ เกลียดเข้าไส้เป็นลำดับต้นๆ
แน่นอน กล่าวสำหรับการไปออกรายการร่วมกัน ในฟากของนายจตุพรนั้นมีแต่ได้กับได้ ขณะที่ทางด้านนายสุริยะใสก็ต้องบอกว่ามีแต่เสียกับเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ถามว่า ผิดหรือไม่ที่นายสุริยะใสไปออกรายการของวู้ดดี้
คำตอบคือไม่ผิด แต่สิ่งที่ผิดก็คือการที่นายสุริยะใสไปออกรายการพร้อมกับนายจตุพร
ถ้านายสุริยะใสออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องออกรายการภายใต้แนวความคิดเพื่อนซี้ต่างขั้วการเมืองกับนายจตุพร ก็ต้องบอกว่า นายสุริยะใสโกหก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รับรู้
ดังนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่า นายสุริยะใสตั้งใจที่จะไปออกรายการ และตั้งใจที่จะพูดถึงนายจตุพรในท่วงทำนองเช่นนั้นออกมา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนซึ่งผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างยาวนานจะเสียเหลี่ยมหรือรู้ไม่เท่าให้ผู้ดำเนินรายการ
สิ่งที่ต้องขบคิดต่อไปก็คือ นายสุริยะใสทำไปเพื่ออะไร
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากนั่งลำดับเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาก็อาจพอจะเห็นเค้าลางที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญดังกล่าว
กล่าวคือในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ชื่อของนายสุริยะใสหายไปจากแวดวงข่าวการเมืองเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ “พรรคการเมืองใหม่” ที่นายสุริยะใสหมายมั่นปั้นมือว่าจะสามารถผลักดันให้เขาเดินทางไปถึงฝั่งฝันรวมทั้งสนองตอบความทะเยอทะยานทางการเมืองที่อยู่ใต้จิตสำนึกได้
และเมื่อพรรคการเมืองใหม่จบสิ้น จะเห็นได้ว่า นายสุริยะใสพยายามจะมีบทบาททางการเมืองด้วยการตั้งกลุ่มกรีนขึ้นมาใหม่โดยมีตัวเขาเป็นแกนนำคนสำคัญ
หรือว่า การไปออกรายการร่วมกับนายจตุพรครั้งนี้ เป็นเพราะนายสุริยะใสปรารถนาที่จะลบภาพความเป็นพันธมิตรฯ ออกไปจากตัวเขา และแผ้วถางทางเดินบนเส้นทางการเมืองสายใหม่ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องบอกว่า หมากเกมนี้ประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ในที่สุดหลังมีเสียงด่าดังอึงมี่ นายสุริยะใสก็ไม่สามารถอดรนทนอยู่ได้อีกต่อไป และพยายามอธิบายถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตของเขาว่า “จริงๆ หลายรายการ หลายช่องพยายามเชิญตนกับนายจตุพรไปหลายครั้งแล้วแต่ปฏิเสธไป แต่ปีนี้รับปากเพราะเป็นต้นปีใหม่ และจะได้ประเมินสถานการณ์ ฟังนายจตุพรมองในปีกคนเสื้อแดง และฝั่งเรามองอย่างไร โดยคอนเซ็ปต์รายการคือ คุยเรื่องอดีตของตนกับนายจตุพร ซึ่งเรารู้จักกันมาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่ว่าตั้งแต่วิกฤตการเมืองยุคทักษิณ 6-7 ปีมานี้ ตนเจอกับนายจตุพรเพียง 3 ครั้ง และเจอโดยบังเอิญทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานเปิดร้านเพื่อน งานแต่ง งานบวชของพรรคพวกที่เป็นเครือเดียวกัน”
“ในรายการช่วงแรกจะพูดเรื่องเบาๆ พูดถึงเรื่องในอดีต ซึ่งเราสนิทกันจริงปฏิเสธไม่ได้ แต่วันนี้จุดยืนทางการเมืองต่างกัน ตนก็พูดชัดในรายการว่าเรายืนกันคนละข้าง ปีนี้ก็ต้องยืนกันคนละข้าง เพราะปีนี้วาระทักษิณชัดมาก ตนก็ทักท้วง คัดค้าน ว่าถ้ารัฐบาลจะเอาวาระทักษิณมาเป็นวาระใหญ่ รัฐบาลเอาไม่อยู่แน่ เพราะจะเจอแรงต้านจากมวลชน แต่เผอิญตอนท้ายผู้จัดรายการให้จับมือกัน พี่น้องพันธมิตรฯ เห็นก็เป็นกังวล ขอยืนยันว่าจุดยืนตนเหมือนเดิม แต่อดีตตนกับนายจตุพรเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และเรารู้จักกันมาจริง”
แต่ดูเหมือนว่า นายสุริยะใสมีคำแก้ตัวอย่างไร ความรู้สึกของพันธมิตรฯ ที่มีต่อตัวเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ภาพการจับมือกันระหว่างนายสุริยะใสและนายจตุพรได้ทำลายความน่าเชื่อถือของนายสุริยะใสโดยสิ้นเชิง
ยิ่งเมื่อได้รับรู้จากปากว่า ทั้งคู่เคยนัดกินข้าวกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำจินตนาการที่หยั่งรากลงไปในใจของคนเคยรักนายสุริยะใสจนยากที่จะเยียวยาให้กลับคืนมาเหมือนเดิม
แน่นอน หลายคนอดนึกเปรียบเทียบกับกรณีของ “บิ๊กบัง-พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน” อดีตประธานคมช.ผู้ทำการรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เสนอแนวคิดปรองดองไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร และการไปออกรายการดังกล่าวนายสุริยะใสอาจมีเจตนาที่บริสุทธิ์โดยไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรแอบแฝง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต้องถือป็นบทเรียนทางการเมืองที่สำคัญยิ่งสำหรับชีวิตของนายสุริยะใส
เพราะความดีกับความชั่ว คนดีกับคนเลว ทำอย่างไรก็ไม่สามารถจับให้มายืนอยู่บนเส้นทางเดียวกันได้
ดีๆ ชั่วๆ อย่างไรก็ยังชั่ว
ค่อยยังชั่ว อย่างไรก็ยังชั่ว
ผมรู้มานานแล้วว่าเบื้องหลังของยะใสกับแกนนำอีสานกู้ชาติอีกคนหนี่งที่เพิ่งถูกตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลายไปนั้นมีการติดต่อกับจตุพรอย่างสม่ำเสมอ แม้กระทั่งก่อนขึ้นเวทีปราศรัยก็ยังคุยกันอยู่ โลกนี้คือละครครับ ถ้าเอาหัวโขนออกมองไปที่คนหนุ่มรุ่นนี้แม้กระทั่งจตุพรเองจะรู้ว่าจริงๆแล้วไม่ได้มีอาชีพการงานทำเป็นหลักแหล่ง อาศัยการเติบโตจากพรรคในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนี่งเพื่อกรุยทางสู่การเข้ามาเป็นสมาชิก NGO เมื่อได้บรรจุเป็นสมาชิกเรียบร้อยก็จะมีรายได้จากเงินบริจาคมาจุนเจือเพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้ จาก NGO ก็จะพยายามผันตัวเองให้เข้ามาสู่สายสื่อมวลชน สายการเมือง เพื่อถีบตัวเองให้สูงขึ้นพร้อมกับผลประโยชน์ที่มากขึ้นๆโดยอาศัยแรงผลักดันจาก NGO ต้นสังกัดของตัวเอง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นบางคนก็ทำสำเร็จร่ำรวยไป บางคนก็ล้มเหลวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า NGO ที่ตนเองสังกัดมีพลังมากแค่ไหน สังเกตได้จากคนรุ่นเดียวกับยะใส เช่น บก.ลายจุด ก็มีแนวทางไม่ต่างกัน ในสมัยก่อนนั้น NGO ที่มีบทบาทเป็นบันไดทางการเมืองที่เข้มแข็งที่สุดคือ ครป. ซึ่งมีส่วนผลักดันให้นายอานันท์ ปัณญารชุนได้ขึ้นมาเป็นนายกรักษาการในสมัยรสช. ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเคยออกมารณรงค์เรียกร้องนายกมาจากสส.และต่อต้านพล.อ.สุจินดา ผลงานในครั้งนั้นทำให้องค์กรนี้เป็นทีจับตามองและได้เงินบริจาคสนับสนุนอย่างต่อเนืองจนมาถูกลดบทบาทลงในสมัยทักษิณ
เมื่อทักษิณคิดจะตั้งพรรคไทยรักไทย ทักษิณได้ระดมผู้ชำนาญการทั้งฝ่ายการเมือง NGO และเอกชนไว้ในมือไว้มากมาย ผมจำได้ว่าในการประชุมนั้นมีสมาชิกร่วมก่อตั้งร้อยกว่าคนแต่ละคนเรียกได้ว่าเป็นระดับกูรูของแต่ละสาขา สาเหตุที่ทุกคนยอมศิโรราปให้กับทักษิณเกิดจากความเชื่อมั่นในพันธสัญญา และความร่ำรวยอย่างมหาศาลที่ทำให้เชือมั่นได้ว่า หากทักษิณได้เป็นนายกแล้ว เขาจะกลับมาตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ
แต่พอเอาเข้าจริงๆ องค์กรแรกทีทักษิณจับดองเค็มก็คือ NGO โดยการออกกฏหมายฉบับหนี่งกำหนดให้มีสภาที่ปริกษาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม สมาชิกล้วนแล้วแต่เป็นหัวเรือใหญ่ของ NGO ได้รับเงินเดือน เบี้ยประชุมเช่นเดียวกับลูกจ้างทั่วไป แต่ลดเงินบริจาคจนทำให้ NGO บางแห่งอยู่ไม่ได้ต้องล้มเลิกไป เมื่อรากฐานของ NGO สำคัญๆสั่นคลอนจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต้องออกมาต่อต้านรัฐบาลทักษิณหลังจากการเกิดขึ้นของกลุ่มประชาชนที่ออกมาต่อต้านอยู่ก่อนแล้วอย่างเป็นทางการจากการนำของสนธิ ลิ้มทองกุล ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 บริเวณพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ NGO สุมเสี่ยงต่อการเสียมวลชนของตนเองหากยังนิ่งเฉยไม่ยอมขับเคลื่อนในฐานะองค์กรที่ตนเองดูแลอยู่ ดังนั้น NGO ที่ออกมาจึงแบ่งเป็นสองขั้วคือ กลุ่มอิงทุนใหม่คือคุณทักษิณ กับกลุ่มที่อิงอำนาจเก่า ซึ่งฝ่ายแรกร่ำรวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
มันไม่แปลกอะไรที่ฝ่ายที่สองจะนั่งมองปรากฏการณ์นี้อย่างซังกะตาย นอกจากเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกมาแขวนคอ เพื่อนๆที่อยูในฝ่ายแรกได้ดิบได้ดี มีบ้านราคาเกินสิบล้าน มีรถราคาแพง แต่ตนเองยังต้องเช่าห้อง นั่งแท๊กซี่ โหนรถเมล์ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนฉันใด ใจคนที่อ่อนแออุดมการณ์ยิ่งกว่านั้น ดังนั้น อย่าไปรู้สึกผิดหวังกับปรากฏการณ์ในวันนี้ครับ คนๆหนี่งเคยบอกไว้ว่า ผิดครั้งแรกเป็นครู ผิดครั้งที่สองเป็นกระบือ ใครที่รู้สึกว่ามันเป็นการผิดหวังครั้งแรกขอให้จำไว้เป็นบทเรียน อย่าให้เกิดครั้งที่สองอีกอย่างเด็ดขาด เป็นกำลังใจให้กับประชาชนพันธมิตรตัวจริงเสียงจริงครับ คิดเสียว่าเป็นส่วนหนี่งของการคัดกรองของเก๊ออกไป สุดท้ายพันธมิตรจะเป็นองค์กรภาคประชาชนที่มีคุณภาพที่สุดในประเทศครับ
อิท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น