ความสามารถในการลุกขึ้นเอง
มีปัจจัยหลายๆอย่างบีบให้คนเมืองถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น
โอกาสที่คุณจะเกิดกำลังใจเหมือนน้อยลง
แต่โอกาสที่คุณจะโดนผลักให้ล้มหรือโดนเหยียบซ้ำมีมากขึ้น
ผู้คนคล้ายสะใจกับการทำตัวบั่นทอนกำลังใจกันและกัน
เพื่อนได้ดีก็ริษยา ศัตรูพลาดท่าก็ขุดดินฝังกันเลย
วิธีโตขึ้นมากับวิธีทำงานร่วมกันในองค์กรของโลกยุคเรา
น่าจะมีอะไรผิดพลาดสักอย่างหรือหลายๆอย่าง
เพราะเหมือนชีวิตจะได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการ
เช่น ความเกลียด ความจองเวร และการทิ่มแทง
แต่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
เช่น ความรัก ความผูกพัน และกำลังใจ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสให้คิดว่า
ชีวิตเปรียบเหมือนช้างศึกเข้าสมรภูมิ
ต้องทนหอกดาบและศาสตราที่ทิ่มแทงมา
กับทั้งเดินหน้าต่อไปให้ได้
ยุคเราสมัยเราก็ดูจะเต็มไปด้วยสงครามสารพัดชนิด
ทั้งสงครามแบบที่รบกันด้วยปืน
และทั้งสงครามแบบที่เฉาะกันด้วยปาก
ไม่มีประเทศไหนหรือบุคคลใดยอมให้ผู้อื่นเป็นสุขสงบกัน
ฉะนั้น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเราอาจหดหู่ได้บ่อยๆ
มองไปทางไหนเหมือนไร้กำลังใจ
หาใครเป็นพวกอย่างยั่งยืนแท้จริงไม่เจอ
ในช่วงเวลาท้อแท้
ตัวคุณจะหนักจนหาใครในโลกแข็งแรงพอจะฉุดให้ลุกขึ้นมาไม่ได้
ทางเดียวคือคุณต้องออกแรงลุกขึ้นมาเอง!
จุดตั้งต้นที่จะก่อให้เกิดความอยากช่วยเหลือตัวเอง
เป็นกำลังให้ตัวเอง
บางทีก็เกิดจากการสังสรรค์สมาคมกับหมู่คน
ที่พร้อมจะช่วยกันผลักดันกันไปในทางดี
โลกยุคเรามีเขตดีบนอินเตอร์เน็ตอยู่มาก
แต่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเข้าไปทำความคุ้นเคยด้วย
และยอมเอาเวลาในชีวิตไปทิ้งให้เขตอื่นที่ "น่าสนุกกว่า"
เขตที่เต็มไปด้วยถ้อยคำผรุสวาท ทิ่มแทง ถลกเนื้อเถือหนังกัน
ถ้านึกเป็นมโนนิมิตแล้ว เทียบไปก็คงคล้ายคนป่ามีมากขึ้น
และแพร่เชื้อร้ายต่อๆกันไปมากขึ้น
ผมเคยเห็นบางคนสลดหดหู่กับชีวิต
แล้วพยายามแก้ความหดหู่ด้วยการเข้าไปรุมด่านักการเมือง
หรือด่าใครที่ดูสูงส่ง ด้วยความเชื่อในชั่วขณะนั้น
ว่าจะบรรเทาอาการเจ็บปวดหัวใจของตัวเองลงได้บ้าง
ดึงใครให้มาเป็นทุกข์ร่วมกับตนได้บ้าง
ซึ่งก็อาจจะจริงสักสองสามชั่วโมงที่ได้อยู่ตรงนั้น
แต่หลังจากนั้นล่ะ?
จิตที่เต็มไปด้วยมหาอกุศลธรรมทิ้งอะไรไว้เป็นประโยชน์ก็เปล่า
ตรงข้าม กลับจะสร้างรอยช้ำให้กับจิตขยายวงกว้างขึ้นไปอีก
ทางที่ถูกที่ควร ที่แก้ความหดหู่ได้จริง
ก็คือวิ่งเข้าหากุศล วิ่งเข้าหาสิ่งที่เป็นมงคล
เพื่อรับพลังในทางดี และความสุกสว่างในทางบวก
ถ้าต้องคุยกับใคร ให้เลือกว่าเขาอยู่ในเขตเย็น
ถ้าต้องการกำลังใจจากใคร ให้เลือกว่าเขาอยู่ในแดนสว่าง
ไม่เช่นนั้นคุณจะได้แต่ทำในสิ่งที่ผิดพลาด
เหยียบย่ำตนเองให้จมลึกลงไปเรื่อยๆ
และเมื่อเจอใครที่ให้กำลังใจคุณได้
ก็อย่าเข้าใจว่าเขาจะอยากอุ้มคุณขึ้นแบก
ขอให้นึกถึงอกเขาอกเรา
จะมีใครถูกออกแบบมาให้แบกคนอื่น
ชีวิตคนเจออะไรกระหน่ำให้เดินตุปัดตุเป๋กันทั้งนั้น
คุณหวังเจอคนมีน้ำใจได้
แต่เอาน้ำใจของเขาหรือพวกเขามากินให้เกิดแรง
ไม่ใช่คิดใช้น้ำมาทำปั้นจั่นยกตัวเราขึ้นมา
ระลึกไว้ว่าไม่มีน้ำใจใครแข็งแรงขนาดนั้นได้
ความอยากหายเศร้าเร็ว
อยากกลับมีกำลังขึ้นใหม่ให้ได้เร็วๆ
ก็มีฤทธิ์ในทางตรงข้ามได้
เพราะความอยากจะกดดันให้เหนื่อยใจ
ทั้งหมดที่ควรทำคือตั้งความหวังว่า "เราจะออกแรง" เท่านั้นพอ
เพราะตามธรรมชาติแล้ว พอ "ออกแรง" ปุ๊บ
เราจะรู้สึกถึงกำลัง จะรู้ว่าความชุ่มชื่นแห่งการยืนขึ้นใหม่
มันมีหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง
ยิ่งถ้ายังออกแรงก้าวต่อไปอีก
ไม่ยอมตัวให้กับความคิดหดหู่อยากยอมแพ้อีก
ก็จะยิ่งสัมผัสถึงกำลังว่ามีมากพอจะไม่ล้มลงไปในเร็วๆนี้แน่
ตอนหมดแรงจริงๆ และหาใครเป็นตัวช่วยไม่เจอ
แถมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงจะกระดิกตัวยังไม่มี
ให้หวังที่พึ่งสุดท้าย
คือ "การตื่นนอนตอนเช้า" ครับ
การเลิกตื่นสาย หันมาตื่นเช้าคือการมาพร้อมพลังทางกาย
ซึ่งก็จะพลอยปลุกพลังทางใจให้เข้มแข็งขึ้นมาด้วย
ถ้าคิดตั้งใจตื่นเช้าในยามเหนื่อยอ่อนที่สุด
อย่างน้อยก็เป็นการโปรแกรมกายกับใจ
ให้พร้อมเข้าสู่ภาวะหลับที่สนิทและเป็นสุขขึ้นมาบ้าง
เลิกหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่ภาวะแย่ๆรอบตัวเสียได้บ้าง
และถ้าคุณพบว่าคำพูดของใครมีกำลังใจให้อยากลุกขึ้นใหม่ได้
ก็ให้ตระหนักว่าคำพูดมีความหมายอย่างสำคัญกับชีวิตเรานะครับ
แล้วคำพูดไหนล่ะที่เราได้ยินบ่อยที่สุด?
ก็คำพูดในหัวนั่นเอง
เราจึงต้องระวังความคิดในหัวที่เราใช้พูดกับตัวเองตลอดเวลาด้วย
เพราะนั่นแหละคือสิ่งกดดันที่แท้จริงให้เราจม
หรือเป็นแรงผลักดันยิ่งใหญ่ให้เราพ้น!
อ้อ! ลุกจากที่นอนตอนเช้าต้องมีสติด้วยนะครับ
อย่าลุกด้วยอาการเซ็งเป็ดล่ะ
ถ้าการลุกครั้งแรกของวันคืออาการเซ็งเป็ด
คุณจะนึกถึงการลุกขึ้นใหม่ในชีวิตด้วยอาการอื่นไม่ออกหรอก
ยามหดหู่ ตัวเราจะหนักที่สุดก็ตอนอยู่บนที่นอนตอนเช้า
ถ้าลุกขึ้นด้วยความสดชื่นแล้วไม่อ้อยอิ่งต่อ
ก็กลายเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นทุนรอน
เพื่อเอาชนะความหนักทุกชนิดได้ไม่ยาก
ดังตฤณ
กันยายน ๕๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น