เมื่อครั้งยังเป็นพระหนุ่ม หลวงพ่อชา สุภัทโทได้ใช้เวลาหลายปีในการเสาะหาครูบาอาจารย์ผู้รู้แจ้งในธรรม ท่านเคยเดินธุดงค์จากลพบุรีไปยังนครพนมเพื่อศึกษาธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แม้มีเวลาฟังธรรมโอวาทจากท่านเพียงแค่ ๓ วัน แต่ก็บังเกิดความอิ่มเอิบในธรรมอย่างยิ่ง มีกำลังใจในการปฏิบัติอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ในพรรษาที่ ๙ ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่กินรี จันทิโย ที่นครพนม หลวงปู่กินรีเป็นพระวิปัสสนาจารย์ซึ่งเปี่ยมด้วยภูมิธรรมและมีประสบการณ์การภาวนาตามป่าเขาอย่างโชกโชน เมื่อท่านชราภาพได้มาเป็นหลักเป็นประธาน ณ วัดป่าหนองฮี
ในพรรษานั้นพระภิกษุชาทำความเพียรอย่างไม่ลดละ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ระย่อต่อแดดฝนหรืออุปสรรคใด ๆ จนพื้นดินเป็นร่องลึก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังความสงสัยแก่ท่านมากก็คือ หลวงปู่กินรีนั้นกลับไม่ค่อยเดินจงกรมนั่งสมาธิ วันหนึ่ง ๆ ท่านเห็นหลวงปู่เดินเพียงไม่กี่เที่ยว เวลานอกนั้นท่านทำกิจอื่น เช่น เย็บผ้าปะจีวร ดูท่านมีงานจิปาถะทำทั้งวัน
เมื่อเห็นเช่นนี้พระภิกษุชาจึงคิดในใจว่า “ครูบาอาจารย์จะไปถึงไหนกัน เดินจงกรมก็ไม่เดิน นั่งสมาธินาน ๆ ก็ไม่เคยนั่ง คอยแต่ทำนั่นทำนี่ตลอดทั้งวัน แต่เรานี่ปฏิบัติไม่หยุดเลย ถึงขนาดนั้นก็ยังไม่รู้ไม่เห็นอะไร ส่วนหลวงปู่ปฏิบัติแค่นั้นจะเห็นอะไร”
แต่หลังจากที่ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่นาน ๆ และได้ฟังธรรมอันลุ่มลึกจากท่านพระภิกษุชาก็รู้ว่าเป็นความเขลาของท่านเองที่คิดเช่นนั้น ท่านพูดถึงบทเรียนที่ท่านได้จากประสบการณ์ครั้งนั้นว่า
“เรามันคิดผิด หลวงปู่ท่านรู้อะไร ๆ มากกว่าเราเสียอีก คำเตือนของท่านสั้น ๆ และไม่ค่อยมีให้ฟังบ่อยนัก เป็นสิ่งที่ลุ่มลึก แฝงไว้ด้วยปัญญาอันแยบคาย ความคิดของครูบาอาจารย์กว้างไกลเกินปัญญาเราเป็นไหน ๆ ตัวแท้ของการปฏิบัติคือความพากเพียร กำจัดอาสวกิเลสภายในใจ ไม่ใช่ถือเอากิริยาอาการภายนอกของครูบาอาจารย์เป็นเกณฑ์”
ท่านมาได้ตระหนักชัดอีกครั้งว่าการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่การวางใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าทำอะไร ก็สามารถเป็นการภาวนาได้
คราวหนึ่งพระภิกษุชานั่งปะชุนจีวรที่ขาดวิ่น ใจนั้นนึกถึงการภาวนาอยู่ตลอดเวลา อยากรีบปะชุนให้เสร็จเร็ว ๆ เพื่อจะได้ไปภาวนาต่อ ขณะนั้นเองหลวงปู่กินรีเดินผ่านมา สังเกตเห็นอาการของพระหนุ่ม จึงพูดขึ้นมาว่า
“ท่านชา จะรีบร้อนไปทำไมเล่า”
“ผมอยากให้เสร็จเร็ว ๆ ครับหลวงปู่”
“เสร็จแล้วท่านจะทำอะไรล่ะ”
“จะไปทำอันนั้นอีก”
“ถ้าเสร็จอันนั้นแล้ว ท่านจะทำอะไรอีกล่ะ”
“ผมก็จะทำอย่างอื่นอีก”
“เมื่อทำอย่างอื่นเสร็จแล้ว ท่านจะไปทำอะไรอีกเล่า”
เมื่อเห็นว่าใจของพระภิกษุชาไม่ได้อยู่กับงานที่กำลังทำ แต่คิดถึงงานชิ้นอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหน้า และรีบร้อนจะทำให้เสร็จไว ๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไปภาวนาต่อ หลวงปู่กินรีจึงเตือนพระหนุ่มว่า
“ท่านชา ท่านรู้ไหม นั่งเย็บผ้าผืนนี้ก็ภาวนาได้ ท่านดูจิตตัวเองสิว่าเป็นอย่างไร แล้วก็แก้ไขมัน ท่านจะรีบร้อนไปทำไมเล่า ทำ อย่างนี้เสียหายหมด ความอยากมันเกิดขึ้นท่วมหัว ท่านยังไม่รู้เรื่องของตนอีก”
คำพูดของหลวงปู่กินรีกระตุกใจของพระภิกษุชาอย่างแรง ทำให้ท่านได้สติ และเกิดความเข้าใจชัดเจนว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น ขอให้หมั่นดูใจของตนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม นี้เป็นบทเรียนที่ประทับใจท่านมาก และถือเป็นหลักปฏิบัติของท่านตลอดมา
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อท่านได้กลายเป็นพระวิปัสสนาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ หากฆราวาสคนใดบอกท่านว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ท่านก็จะถามกลับไปว่า “แล้วมีเวลาหายใจหรือเปล่าล่ะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น