++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

เมาเล่า - ชีวิตเด็กลบ้านสวนบางลำเจียก

            แก้ว แกมทอง

            เดี๋ยวนะฮะ ไม่ต้องแก้คำผิด เพราะถึงผู้เขียนจะนิยมเขียนคำผิดๆมาให้แก้บ่อยๆ แต่ที่จั่วหัวเรื่องไว้นั้น ผู้เขียนตั้งใจเขียน "เมาเล่า" จริงๆ ไม่ใช่ "เมาเหล้า" ถึงแม้ว่าใจจริง จะเขียนเรื่องเมาเหล้าก็จริงเถอะ (เอ๊ะ ยังไง)

            คือ ก็ไม่ใช่อะไร เมื่อเร็วๆนี้ หรือเมื่อที่แล้วมา ผู้เขียนได้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับเมาๆ เหล้าๆ อะไรอย่างเงี้ยะมาทีนึงเป็นการชิมลางดูหน่อย แล้วก็ดูเหมือนจะเรียบร้อยดี บอกอท่านก็ไม่ได้กระโต๊กกระต๊ากอะไรขึ้นมา เห็นท่านก็นั่งยิ้มกริ่มอารมณ์ดีอยู่ยังงั้น ไม่ได้โวยวายว่าอย่านะโว้ย อย่าแหลมเข้ามาในเรื่องอย่างงี้ทีเดียวเชียว ผู้เขียนจะได้รีบหดหัส หรือหัวหดเข้ามาเสียในที่ปลอดภัย เพราะก็พอรู้ๆอยู่แล้วว่าที่นี่เขามีคำฝัน หรือคำขวัญไว้ว่า การเมืองไม่ยุ่ง การมุ้งไม่เกี่ยง เอ๊ย ไม่เกี่ยว เกี่ยวกันได้แต่เรื่องข้างๆมุ้ง เอ๊ะ (ขออีกที) หรือจะจำผิดไปก้ไม่ทราบ แต่ไงๆเรื่องข้างๆขวดก็พอเล่าได้นะ

            ก็อย่าที่เคยเรียนไว้แล้ว  ผู้เขียนเป็นคนชอบเล่าเหลือประมาณ มีเรื่องอะไรนิดอะไรหน่อย ขอให้ได้เล่าเถอะน่า ไม่งั้นมันคันปากอย่างที่เขาว่าเป็นพวกโรคปากคัน อะไรเทือกนั้นแหละ แต่คงจะคนละอย่างกับที่ใครๆเขาว่าคำสวยๆไว้ว่า หัวใจมันคัน หรือคันหัวใจเนี่ย เพราะฟังดูแล้วรู้สึกมันจะนุ่มนิ่มจุ๋มจิ๋มดี คือฟังแล้วมันไม่รู้สึกว่าคันจริงๆ สู้คำว่าคันปากไม่ได้ ฟังแล้วค่อยรู้สึกว่าคันจริงๆ หน่อย ก็อย่างคำว่าคันเท้านั้นไง คำนี้ก็ฟังดูแล้วมันไม่ค่อยคันเหมือนกันนะ คือมันฟังน่าเอ็นดูไปเสีย ไม่เหมือนคำว่า อ้า...ทันโทษ คันตีน เอออีคำนี้ฟังแล้วค่อยรู้สึกว่าคันกันจริงๆหน่อย ไม่เชื่อลองเวลาล้อมวงกันดู แล้วมีใครคนหนึ่งลองเปรยว่า แหมคันเท้าจัง ผู้คนก็จะเฉยๆกัน ดีไม่ดีจะไม่มีคนได้ยินเอาด้วยซ้ำ แต่ลองพูดออกมาว่า แหม คันตีนจังโว้ย.. ผู้คนจะแตกฮือทันที ที่สำคัญถ้าตีนนั้นเป็นตีนที่อยู่ในเกือกบู๊ทอยู่ด้วย จะก่อให้เกิดภาวะตัวใครตัวมันเขาไปใหญ่ อย่างเมื่อก่อนนั้นไง เขาว่ามีเกือกบู๊ทเบอร์ใหญ่อยู่คู่หนึ่ง เจ้าของตีนในเกือกนั้นเกิดเปรยว่า กูชักจะคันตีนขึ้นมาแล้วนะโว้ย .. แค่นั้นเอง พวกนกพวกกาที่จ๊อกแจ๊กจอแจกันอยู่ก็พากันเงียบฉี่ไปเลย พากันคว้าสากขึ้นมาเป่ากันเป็นแถว

            เอ... ขอเลี้ยวกลับมาหาเรื่องเหล้ากันดีกว่า เป็นเรื่องสนุกๆ ปลุกใจดี เพราะคนเรา บางทีอยู่ดีๆ หัวใจมันก็มีเหี่ยวมีเฉาเป็นธรรมดา ครั้นจะเอาน้ำเปล่าๆมาราดมันก็งั้นๆ ไม่เกิดอะไรขึ้นมา สู้เอาน้ำอย่างว่ามาราดไม่ได้ มันค่อยชุ่มชื่นหน่อย ซ้ำบางทียังจะมีฤทธิ์มีเดชขึ้นมาด้วย

            แล้วก็ไอ้เรื่องฤทธิ์เรื่องเดชนี่แหละ ที่กำลังจะเล่าล่ะ

            เมื่อก่อนนี้ เมื่อตอนที่ผู้เขียนยังเด็กๆน่ะ ที่เล่าไว้ว่าคนชาวสวนเขาชอบหมักน้ำตาลเมากินกันนั้น ตอนหน้าลำใยนั่น ก็จะขอขยายความว่า ถึงไม่ใช่ตอนหน้าลำใยจะไม่มีคนกินเหล้ากันก็หาไม่ และถึงแม้จะไม่มีน้ำตาลเมา เขาก็กินเหล้าขวดกันถมถืดไป อย่างที่เขาเรียกยี่สิบแปดดีกรีนั้นไง อีเหล้าขนานนี้ไม่ว่าใครจะทำอะไร อย่างแก้บนต่างๆไหว้ผี  ไหว้พระภูมิ ไหว้ต้นโพธิ์ ต้นไทร ไหว้เสาเอกเสาโท จนกระทั่งวางเสาแม่บันไดบ้าน เขาก็ยังต้องไหว้ด้วยไก่ต้มตัวหนึ่ง เหล้าหนึ่งขวด คือ อีเหล้าขนานนี้ต้องมีแทรกเป็นยาดำเสมอในพิธีไหว้ พิธีแก้บนต่างๆ

            แม้แต่ในหมู่บ้านที่ผู้เขียนอยู่เองเมื่อตอนเด็กนั้น เหล้าขนานนี้มีอยู่ในบ้านประจำเลย ไม่ใช่เจ้าบ้านฝ่ายชายเป็นผู้กินหรอก แต่เป็นเจ้าบ้านฝ่ายหญิง คือ ผู้ใหญ่คนนี้ไม่รู้มีโรคประจำตัวอะไรอยู่ ทำให้ต้องกินยาดองก่อนอาหารเช้าเย็นทุกวัน ยาดองนี้เขาทำใส่โหลเอาไว้ วิธีทำก็เอาเครื่องยาแห้งๆ มาห่อด้วยผ้าขาวผืนสี่เหลี่ยม ผูกพันให้แน่นหนาดี แล้วก็เอาใส่ลงไปในโหลแก้ว  เอาเหล้ายี่สิบแปดดีกรีนี่แหละเทใส่ลงไปสามขวด ก็จะได้เป็นน้ำยาครึ่งโหล เอาฝาโหลห่อผ้าให้ดีปิดให้มิดชิด ทิ้งเอาไว้สักวันสีก็จะออกเป็นสีชาอ่อนๆ พอผ่านไปหลายๆวันสีชาก็จะเข้มขึ้น ทุกทีทุกที แต่ในระหว่างหลายวันนั้น ผู้ใหญ่เขาก็จะเริ่มตักกินแล้ว เขาใช้ถ้วยตะไลเล็กๆ ตักกินครั้งละถ้วย ถ้วยตะไลนี้ก็คือ ถ้วยกระเบื้องเล็กๆ ที่เขามีไว้ทำขนมถ้วยตะไลไง บางบ้านเขามีไว้เป็นเข่งๆเลย เพราะมันสำหรับทำขนมได้หลายอย่าง อย่างขนมถ้วยฟู ขนมน้ำดอกไม้ ขนมทองหยิบ แต่ถ้วยนี่เวลาเอามาวางไว้บนปากโหลยาดอง สำหรับตักยาดองกันน่ะ เขากลับไม่เรียกถ้วยตะไล แต่กลับไปเรียกถ้วยกระจิบไปเสียนี่ อย่างเขาว่า ยานี่ไม่ต้องกินมากหรอก กินแค่ถ้วยกระจิบเดียวก็พอ แบบนี้ แปลกนะที่เขาไม่ยักเรียกว่าถ้วยกระจอก เพราะคำว่ากระจอก  แต่ก่อนนี้มันไม่มี ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรมา ไอ้นกกระจิบ นกกระจอก ที่เขาเอามาเปรียบถึงอะไรที่มันเล็กๆน้อยๆน่ะ มันก็มีกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เขากลับไม่พูดกัน เห็นมีพูดมีเรียกกันอยู่อย่างเดียว คือคำว่า จอก

            ดอกจอกในท้องร่องสอนน่ะ ดอกมันเล็กๆ เขียวๆ สวยดี ชอบเก็บกันเอามาเล่น แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกจะสูญพันธุ์หรือไงไม่รู้ มองหาไม่เจอแล้ว ทุเรียนพันธุ์หนึ่งลูกมันใหญ่แค่กำปั้นเอง เวลาหล่นลงมาในท้องร่องสวน มันจะไม่จมหรอก ติดจอกติดแหนลอยเท้งเต้งอยู่ยังงั้น เขาก็เรียกมันว่าอีทุเรียนจอกลอย ขันเล็กๆที่เขาลอยไว้ในขันใบใหญ่สำหรับใส่ตักน้ำกินน่ะ เขาก็เรียกว่า จอก (แต่ไอ้มุ้งเล็กๆที่เข้าไปกางในมุ้งใหญ่ๆ เขาจะเรียกว่ามุ้งจอกหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะอีเรื่องนี้)

            แต่ไอ้ขันน้ำเล็กๆ เขาเรียกว่าจอกนี้ เกิดได้ความรู้จากลูกจ้างในบ้านว่า ที่บ้านเขาซึ่งอยู่แค่เมืองนนท์ แต่อยู่ลึกเข้าไปทางบางใหญ่ บางคูลัดอะไรไปโน่น ยายเขาเรียกขันทุกใบไม่ว่าใหญ่หรือเล็กว่าตอกทั้งนั้น เพิ่งจะมาเปลี่ยนเมื่อมีลูกหลานเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละ แล้วเพิ่งรู้ว่าคนกรุงเทพฯ เรียกจอกว่า ขัน

            แสดงว่า ไอ้ขันนี่ แต่บุร่ำบุราณมาไม่ว่าคนบ้านไหนเมืองใด เขาอาจจะเรียกกันว่าจอกกันตะพึดก็ว่าได้ ก็ดูแต่พระรถเมรีซี เวลานั่งดวดน้ำพรรค์อย่างว่ากันยังใช้จอกเลย ฟังที่เขาร้องก็ได้ เอ้า  จอกสองจอกกรอกเข้า เมรีขี้เมานอนหลับปาย.....


            ทีนี้ก็จะต่อตรงไหนล่ะ อ้อ ตรงกินยาดองด้วยถ้วยตะไล แต่ไปเรียกว่าถ้วยกระจิบ ยานี่กินไปกินไปทุกวัน กว่าน้ำยาหรือน้ำเหล้าในโหลจะสีแก่ข้นคลั่ก น้ำยามันก็งวดลงไปจนจะแห้งแล้ว เขาก็จัดเแจงเอายี่สิบแปดดีกรีอย่างว่ามาเติมลงไปอีกขวดสองขวด กินกันจนจืดน่ะแหละ จึงจะเอายามาเปลี่ยนห่อดองลงไปใหม่ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นเดือนเป็นปี เรียกว่าเป็นของประจำบ้านเลย แต่แล้วอยู่มาไอ้ยาดองหนึ่งโหลนี่ก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นสองโหล เพราะเหตุมีสาวหนึ่งในบ้านเกิดออกลูกขึ้นมา เขาจำเป็นต้องกินยาดองเหล้าขึ้นมาอีกขนานหนึ่ง


            ตอนนั้นเวลาใครออกลูกหรือคลอดลูกนี่ เขามักคลอดกันในบ้านของตัวเอง ถ้าบ้านกว้างขวางพอแล้วมีกะตังค์พอจะจ้างหมอตำแยมาอยู่ประจำ ช่วยดูแลปรนนิบัติพัดวี เฝ้าฟืนเฝ้าไฟจนกว่าตัวแม่ลูกอ่อนจะพอลุกไหวไปทำอะไรเองได้

            หมอตำแยนี่เท่าที่เคยเห็น ก็เห็นมีแต่ผู้หญิงแก่ๆหรือ ไม่ค่อยจะแก่เท่าไหร่ ไม่เห็นมีผู้ชาย อาจเป็นเพราะว่าที่เขาเป็นหมอตำแยได้ ก็เพราะมีประสบการณ์มาก ประสบการณ์ในการคลอดลูกน่ะ คือ มีลูกมากจนรู้อะไรๆดีหมด อย่างมีครอบครัวหนึ่ง มีลูกถึงสิบสองคน ตัวแม่ที่มีลูกสิบสองคนนี่ คลอดลูกเองในบ้านของตัวทั้งนั้น ไม่เคยต้องจ้างหมอตำแยเลย แถมขณะที่ตัวแกมีลูกไปเรื่อยๆอยู่นี้ ลูกสาวคนโตสุดก็มีลูกแข่งออกมาอีก แกก็ทำคลอดให้เสร็จ เดี๋ยวก็ทำให้ลูกมั่ง ทำให้ตัวเองมั่ง แล้วลูกสาวแกมีคนเดียวเสียเมื่อไหร่ ที่โตๆพอจะออกลูกแข่งกะแกได้น่ะ กว่าตัวแกเองจะออกลูกหมดถึงคนที่สิบสองแกก็ต้องไปออกลูกให้ลูกตั้งหลายคน ออกมานั่งกันหน้าสลอน หลานบางคนอายุแก่กว่าลูกแกก็มี แล้วพอมีเวลาว่างตอนไหน ที่หมดภาระทำคลอดในบ้านตัวเองแล้ว แกก็ไปช่วยทำคลอดให้ชาวบ้านคนอื่นๆเขามั่ง เป็นการหาลำไพ่ไปในตัวเสร็จ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ

            คนจะคลอดลูกตอนนั้น ถึงไม่เห็นใครไปโรงพยาบาล อุ้มท้องไปให้แม่คลอดให้มั่ง เรียกหมอตำแย ที่มีอาชีพตำแยจริงๆมาคลอดให้มั่ง แล้วก็คลอดกันออกมาเป็นกองสองกอง ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร นั่งอยู่กันมาจนกระทั่งบัดนี้ทุกคน แปลกแท้ๆทีเดียว

            การจะเริ่มคลอดลูกของเมื่อก่อนนี้ เขาเริ่มกันที่การตัดฟืนสำหรับอยู่ไฟนะ เขาต้องเลือกเอาฟืนดุ้นสวยๆตรงๆขนาดพอดี ไม้อะไรผู้เขียนก็ลืมไปแล้ว รู้แต่ว่าต้องเป็นไม้แกร่งๆ มาตัดทอนให้ดุ้นยาวเท่ากันเปี๊ยบ แล้วก็วางเรียงกันไว้ใต้ถุนบ้านให้เรียบร้อย สวยงาม  ไม่ใช่โยนๆ กองสุมกันไว้อะไรยังงั้น แล้วการกองฟืนอยู่ไฟนี่ เขาก็มีเคล็ด มียอก ให้ดูเป็นสำคัญ ในเรื่องว่า เด็กในท้องที่จะออกมาน่ะ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายด้วย คือ เขาว่า ถ้ากองฟืนนั่นน่ะ วางเรียงกันได้ตรงเรียบ มีระดับเรียบร้อย ไม่มีกระพร่องกระแพร่งตรงไหนเลย เขาก็ว่า เด็กนั่นเป็นผู้ชาย แต่ถ้ากองฟืนไว้ไม่เรียบ คือ ตรงไหนๆก็วางได้ระดับกันขึ้นมา แต่ดันมาพร่องตรงกลางกอง เขาก็ว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง ทำไมของเขายังงั้นก็ไม่ทราบ

            เมื่อเตรียมฟืนไฟกันเสร็จแล้ว ทีนี้เขาก้เริ่มฉีกผ้าอ้อมกันล่ะ (โบราณเขาถึงมีสำนวน "ฉีกผ้าอ้อมกันไม่ทัน" ถ้าลูกสาวใครแร่ดๆหน่อย) คนธรรมดาๆ ไม่ค่อยมีกะตังค์เขาก็ใช้ผ้านุ่งเก่าๆ ของแม่น่ะแหละ บางทีก็ผ้าโจงกระเบนของยายก็ได้ มาฉีกเข้า ให้เป็นผ้าอ้อมผืนเล็กๆ ที่มีกะตังค์ก็ไปซื้อผ้าขาวมาใหม่เอี่ยม มาฉีกเข้าแควกๆแต่ห้ามเย็บริม ห้ามซัก ห้ามทำอะไรก่อน ไม่ได้นะ ที่จะทำเบาะของเด็ก ก็ฉีกเอาไว้ยังงั้นยังไม่ให้เย็บ ไม่ให้ยัดนุ่นก่อน เขาว่ากลัวอะไรมันจะติดจะขัดกันตรงไหนก็ไม่ทราบ ต้องจัดเตรียมๆกันไว้เพียงเพื่อว่าให้มีของพร้อมเป็นพอ

            ในระหว่างเขาเตรียมๆกันจะออกลูกนี่ ผู้เขียนไม่วิ่งออกหัวถนนเลย คอยนั่งเฝ้าดูเขา ดูว่าเขาจะออกลูกกันยังไงยิ่งเห็นเขาเตรียมโน่นเตรียมนี่ยิ่งตื่นเต้น ตกกลางค่ำกลางคืนยิ่งนอนไม่ค่อยจะหลับ กลัวหลับไปแล้วเขาจะออกกันก่อนแล้วไม่เห็น แต่พอถึงวันเข้าจริง พอเขาบอกเจ็บท้องแล้วละวา หมอตำแยก็มาแล้ว  เดินหิ้วตะกร้าหวายมาใบหนึ่ง  คงจะเป็นเครื่องมือ แล้วเสื้อผ้าของแกเองน่ะแหละ ยังจำได้เลย ยายหมอตำแยนี่แกนุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อแขนกระบอก มีผ้าแถบห่มสไบอีกที กินหมากปากเขลอะเลย แกก็ขึ้นมาบนบ้าน เดินตรวจดูนั่นดูนี่ว่ามีพร้อมไหม ผู้คนบนบ้านก็คึกคัก เตรียมช่วยหยิบช่วยฉวยกันเต็มที่ เวลาก็ยังไม่มืดค่ำเพราะเขาเจ็บท้องตั้งแต่ยังวันอยู่ แต่ตัวผู้เขียนอดเข้าไปนั่งเสนอหน้าอยู่กับพวกเขาแล้ว เขาไล่ให้มาอยู่เสียข้างนอก คือ ห้องที่เขาจะออกลูกนี่มันอยู่ในสุดของบ้าน ไปทางด้านหลังครัวโน่นแน่ะ เลยนอกชานบ้านเข้าไปอีก ห้องที่ผู้เขียนอยู่มันอยู่ข้างนอกชานบ้านมาด้านนอก จะไปยืนชะเง้อตรงกลางนอกชานแล้วมองเข้าไปก็ไม่มีทางเห็นเขา พยายามเคี่ยวเข็ญแม่ บอกให้แม่ช่วยพาเข้าไปดูเขาหน่อย แม่ก็ไม่ยอม แม่บอกดูไม่ได้เด็กๆเขาไม่ให้ดู

            เอาละซี ผู้เขียนก็เลยผิดหวังใหญ้โต เสียแรงไม่ไปเล่นหัวถนน จะคอยคาบข่าวใหญ่นี่ไปเล่าให้พวกๆกันฟัง กลับไม่ได้เห็นอะไรเลย  แล้วพอตกค่ำเขาว่าจะออกจะออกกันแล้วน่ะเห็นแต่ผู้ใหญ่ในบ้านเขาจุดธูปมาปักไว้กลางนอกชาน แล้วทุกคนหายไปอยู่หลังบ้านกันหมด

            ผู้เขียนถูกแม่ลากเข้ามุ้ง เลยเข้าไปนอนร้องไห้ฮือๆ คร่ำครวญว่าจะดูเขาออกลูกน่ะแม่ แม่เขาก็เอาผ้ามาอุดปากเขากระซิบว่า ไม่ให้ร้องไห้นะ เขาจะออกลูกกันร้องไห้ไม่ได้เดี๋ยวผีจะมาเอาตัวคนร้องนี่แหละไป ผู้เขียนก็เลยได้แต่นอนเงียบๆ คอนตะแคงแต่หู คอยฟังว่าเขาจะมีเสียงอะไรกันมั่ง ก็ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ได้ยินแต่เสียงพุดกันเบาๆ ธรรมดา บางทีก็เงียบไปเลย

            เคยดูหนังไทยกับละครโทรทัศน์ตอนปัจจุบันที่ บางเรื่องมีตอนออกลูกแบบโบราณแสดงให้ดู รู้สึกว่าภาพที่เห็นนั่นจะดูทะลักทุเลและทรมานทรกรรมกันอย่างสาหัสเทียวนา ทั้งร้องทั้งดิ้น โอ้โห ดูแล้วน่าตกใจ ผู้คนที่ช่วยทำคลอดก็รู้สึกจะลำบากลำบนกันหนักโข ไม่รู้ไอ้ภาพอย่างนั้นจะเป็นจริงอย่างภาพเมื่อโบราณเขาหรือเปล่า เพราะคืนนั้นผู้เขียนคอยนอนตะแคงหูคอยฟังเขาจนหลับไป ไม่ได้ยินเสียงโวยวายอะไรเลยหรือ เขาจะโวยวายกันอีตอนผู้เขียนหลับไปแล้วก็ไม่รู้นะ พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ได้ยินเสียงเด็กร้องแว้ๆแล้ว พอได้ยินแค่นั้นผู้เขียนก็รีบออกจากมุ้ง วิ่งตั๊กๆจะไปดูน้อง แต่แม่ผู้เขียนก็ไวทายาด ไล่ตะครุบผู้เขียนไว้ได้อีกบอกยังไม่ให้ดู น้องยังเล็กดูไม่ได้

            แล้วกันวะ ผู้เขียนชักยั้วะ แต่พอจะแผลงฤทธิ์พวกผู้ใหญ่คนอื่นๆเขาก็มาช่วยดุ ไม่ให้ผู้เขียนออกเสียงดังบนบ้าน ให้ไปอยู่ที่อื่น

            ตกลงพอกินข้าวเสร็จ ผู้เขียนก็ได้แต่เดินคอตกไปหัวถนน แจ้งข่าวให้พรรคพวกฟังอย่างไม่ค่อยภูมิใจนักว่า ...ที่บ้านข้าเขาออกลูกกันล่ะ
            ไอ้จุก ไอ้แกละ ไอ้เบิ้ม ไอ้เปี๊ยก อะไรพวกนี้มันต่างก็มีน้องกันคนละคนสองคนแล้วทั้งนั้น แต่ก็อย่างว่า แม่พวกมันส่วนมากก็หอบท้องไปออกลูกบ้านยาย หรือไม่ก็ไปออกที่บ้านหมอตำแยเลย พอช่วยตัวเองได้แล้วถึงเดินอุ้มเด็กเอาผ้านุ่งเก่าๆห้อเด็กเดินกลับบ้าน ไม่ได้มีการออกกันบนบ้านเองอย่างที่บ้านผู้เขียนอยู่ แต่ยังงั้นไอ้พวกนั้นมันก็ยังอวดรู้กันไปต่างๆ
            ไอ้จุกมันทำเสียงถามอย่างผู้ใหญ่
            "ผู้หญิงผู้ชายวะ"
            ผู้เขียนสั่นหัวจ๋องๆ
            "ไม่รู้ว่ะ แต่มันร้องได้นะ ข้าได้ยินเสียงมันร้องด้วย"
            "อีรูปนี้ต้องเป็นผู้หญิง " ไอ้แกละรีบสอด "แม่กูบอก ถ้าเด็กผู้หญิงมันต้องร้องเก่ง"
            "นี่แปลว่าเอ็งไม่ได้เห็นอีตอนเขาออกกัน" ไอ้จุกซ้ำเติมอย่างดูถูก "ถ้าได้ดูเอ็งต้องรู้แล้ว โธ่เอ้ย เขาออกกันบนบ้านเอง ยังเสือกไม่ดู"

            "ข้านอนหลับว่ะ " ผู้เขียนแก้ตัว แต่รู้สึกว่าไอ้พวกนั้นจะไม่ค่อยชอบใจ เพราะดูพวกมันก็สนใจเรื่องออกลูกเหมือนกันแฮะ มีท่าทางฮึดฮัดเสียดายโอกาสกันไปตามๆกัน แต่ที่สุดไอ้แกละก็ทำเป็นไม่แยแส พูดอย่างๆเบื่อๆแกมอวดรู้ว่า

            "เฮ่ย ไม่เห็นมีอะไรสนุก ตอนแม่ข้าออกน้องข้าดูแล้ว ดูใกล้ๆเลย มันออกมาทางสะดือว่ะ พอออกมาแล้วสายสะดืองี้นะเอ็ง ติดกันออกมายาวเปื้อยเลย ข้างนึงติดกะสะดือเด็ก อีกข้างนึงติดกะสะดือแม่ เขาต้องเอามีดมาตัดให้ขาดจากกัน แล้วก็ม้วนๆ ยัดเก็บเข้าไป เอาผ้ามาพันไว้ให้แน่น ไม่งั้นมันไหลออกมา"

            อื้อหือ .. พวกเราฟังแล้วก็ตาลุกไปตามๆกัน ทั้งหวาดเสียว ทั้งอยากเห็น วิจารณ์กันแซ่ดไปหมด ไม่มีใครรู้ว่าไอ้แกละยกเมฆ มันคงเอาภาพเด็กอ่อนๆ เขามีผ้าผูกสะดือไว้นั้นแหละมารวมๆกับที่ผู้ใหญ่เขาพูดกันเอามาพูดเป็นตะเป็นตะ แต่พูดแล้วมันก็ยังอยากเห็นอยู่นั่นเอง

            เมื่อความอยากรู้อยากเห็นมีด้วยกันทุกคน ความเห็นจึงออกมาตรงกันว่า ..ไปแอบดูเขาดีกว่าโว้ย
            "แอบตรงไหนล่ะ เขาคงไม่ให้ขึ้นบ้าน" ผู้เขียนยังวิตก
            "ไม่เป็นไร บ้านเอ็งใต้ถุนสูง เราไปแอบดูตรงใต้ถุนก็ได้"
            ไอ้จุกว่า เราเลยพร้อมใจกันเดินตามกันเป็นหางไปบ้านผู้เขียน พอเข้าเขตบ้านต่างคนต่างก็เอานิ้วแตะปากให้กันเงียบแล้วค่อยๆ เดินย่องยังกะจะแอบไปขโมยอะไรเขา
            ตื่นเต้นเป็นบ้าเลย สนุกด้วย บ้านผู้เขียนอยู่ติดริมคลองทั้งทางหน้าบ้านกับข้างบ้านอีกด้านหนึ่ง คือมันมีคลองซอยเข้าข้างบ้านด้วยน่ะ เราก็ค่อยๆย่องกันไปตามริมคลองข้างบ้านทำก้มๆเงยๆ คอยมองดูคนบนบ้าน พอเห็นเขาเดินว้อบแว้บออกมาตรงนอกชาน เราก็รีบหดหัวหมอบลงไปกับดิน พอเขาเดินเข้าไปข้างในแล้วเราก็ค่อยๆย่องกันไปอีก กว่าจะเข้าใต้ถุนบ้านได้ก็พากันใจหายใจคว่ำกันแทบแย่


            บนบ้านเขาเงียบกันจริงๆ ความจริงบ้านที่ผู้เขียนอยู่นี้มีผู้คนอยู่เยอะ แต่พวกโตๆเขาไปโรงเรียนกัน พวกผู้ใหญ่เขาก็ไปทำงานของเขา มีอยู่เฝ้าบ้านประจำก็แต่แม่ผู้เขียนแหละ แต่ตอนนี้มียายหมอตำแยหน้าดุนั่นนะซี มาค้างอยู่ด้วย

            พอเข้าไปอยู่ตรงใต้ถุนบ้าน ตรงห้องที่เขาออกลูกกันแล้ว พวกเราก็พากันผิดหวังอยู่ดี เพราะใต้ถุนบ้านมันสูงกว่าหัวเราตั้งหลายเท่า ขนาดผู้ใหญ่ยืนยังจับพื้นบ้านไม่ได้ คิดดู แล้วพวกเราไปยืนแหงนกันเถ่อจะเห็นอะไร พื้นบ้านเป็นไม้กระดานแผ่นใหญ่ๆ เขาก็อัดกันแน่น จะหารูหาร่องตรงไหนก็ไม่มี เงี๊ยบเงียบ เสียงเด็กก็ไม่ร้อง ได้ยินแต่เสียงคนเดินเบาๆ แล้วก็เงียบ  คงจะเป็นยายหมอตำแยแหละ แกคงทำอะไรของแก

            เมื่อพากันยืนแหงนจนเมื่อยคอ หาร่องหารูตรงไหนก็ไม่เจอเสียแล้ว เสียงอะไรก็ไม่ได้ยิน เราก็พากันมาจับกลุ่มซุบซิบกันอยู่ริมคลองอีก เผอิญอีตรงริมคลองนี่มันมีต้นลำใยอยู่ด้วย คือ ต้นลำใยนี่เขาปลูกบนถนนริมคลอง ส่วนริมคลองจริงๆนั้นมันมีแต่ต้นมะไฟ ต้นลำใยนี่มันมีกิ่งยื่นไปทางตัวบ้านพอดี กิ่งหนึ่งยื่นไปเหมาะอยู่ตรงห้องเขาออกลูก หน้าต่างบ้านเขาก็เปิดไว้ ไอ้จุกหัวดีกระซิบกระซาบ

            "ขึ้นต้นลำไยกันวะ ไต่ไปที่กิ่งนั่นก็เห็น กูว่าเขาคงนอนหลับกันหมดแล้ว เงียบฉี่เลย อย่าเสียกทำเสียงดังแล้วกัน"

            ว่าแล้วไอ้จุกก็ขึ้นไปก่อน ไอ้แกละตะกายตาม ไอ้เบิ้ม ไอ้เปี๊ยกก็เตรียมตัว คือ พวกเราทำอะไรต้องทำตามลำดับไหล่ทุกที ผู้เขียนก็ต้องเอากะเขามั่ง ความจริงยังขึ้นต้นไม้กะเขาไม่ค่อยเป็นหรอก แต่ไอ้ต้นลำไยนี่มันพอมีกิ่งเตี้ยๆโคนต้น ก็เอาละวะ อยากเห็นนี่หว่า พอไอ้เบิ้มไอ้เปี๊ยกเหนี่ยวตัวขึ้นไปแล้ว  ไอ้จุกไปถึงไหนไม่รู้ผู้เขียนยังพึ่งตะกายแย้กๆ อยู่อีตรงกิ่งล่าง ก็มีเสียงดังผลั่ว ....ใจหายวูบเลย   พอเงยหน้าขึ้นไปก็เข่าอ่อน

            อียายหมอตำแยหน้าดุเอง แกมายืนที่หน้าต่างเมื่อไหร่ไม่รู้ แกเอาลูกหมากดิบปาออกมา เฉียดหัวไอ้จุกไป ไอ้จุกมันขึ้นไปอยู่บนกิ่งบนนั่นแล้ว ไอ้อีกสามคนก็กำลังจะถึง  แต่ยายหมอตำแยแกเอาลูกหมากเงื้อง่าทำท่าจะปามาอีก แล้วทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำท่าไล่โดยไม่ให้มีเสียงน่ะ แต่แค่นั้นพวกเราก็กลัวหัวหด ไอ้จุกถอยกรูดลงมาทันที ทำให้ไอ้อีสามคนโดดกันมาลงแทบไม่ทัน แล้วพวกเราห้าคนต่างก็พากันเดินงุดๆกลับออกมาหัวถนน ไอ้จุกหัวโลกเดินด่าโขมง

        "หวงฉิบหายเลย ไม่ต้องดูของมันก้ได้วะ"
            แต่ก้อย่างว่า อะไรนี่เขายิ่งห้าม ยิ่งทำท่าลี้ลับซับซ้อน เด็กๆมันก็ยิ่งอยากดู พวกเราก็เลยนั่งหงุดหงิดคิดอ่านกันอยู่นาน แล้วไอ้จุกมันก็วางแผน  สอนสั่งให้ผู้เขียนแอบดูให้ได้ แล้วผู้เขียนก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายเสียด้วยซี คือ เพื่อนสอนอะไรเชื่อหมดว่าดี แต่ถ้าผู้ใหญ่สอนแล้วไม่เชื่อ ว่าไม่ดีเนี่ย .... เด็กๆ มันเป็นกันยังงี้มาจนเดี๋ยวนี้ ไม่รู้จะทำยังไง
       
            ปรกติผู้เขียนกินข้าวกลางวันแล้ว แม่เขาก็จับให้นอน แต่วันนี้ไม่มีทางหลับหรอก แกล้งนอนหลับตาปี๋ตามแผนอยู่ยังงั้น ใจก็เต้นอยู่ตึ๊กๆตั๊กๆ คอยจนแม่เขาตายใจ เขานึกว่าเราหลับแล้วเขาก็จัดแจงลุกออกจากห้องไปทำอะไรของเขา ผู้เขียนเลยได้โอกาสย่องออกจากห้องเดินข้ามนอกชานไปหลังครัวมองซ้ายมองขวาใจเต้นยังกะตีกลอง กลัวยายหมอตำแยแกจะโผล่ออกมาเสียก่อน พอไม่เห็นแก ผู้เขียนก็รีบย่องหนับๆโผล่พรวดเข้าไปในห้องที่เขาออกลูก

            โอ่โห... พอมองเห็นแค่นั้น ใจหายวูบลงไปอยู่ตาตุ่มเลย ไม่ร้องกรี๊ดออกมาตามนิสัยก็บุญแล้ว ไอ้ภาพเด็กอยู่ในกระด้ง มีผ้าขาวบางทำเป็นกระโจมคลุมไว้  มองเห็นนอนแกว่งมือในถุง มือไหวๆอยู่น่ะก็น่ารักดีหรอก แต่ภาพของแม่เด็กที่นอนอะหลึ่งฉึ่งอยู่บนเตียงไม้ แล้วมีแม่เตาไฟขนาดใหญ่ มีไฟลุกวอมแวม แต่ถ่านไฟแดงโร่กองเบ้อเร่ออยู่ตรงหน้าเตียงน่ะ น่ากลัวจะตาย

            แม่ลูกอ่อนตอนอยู่ไฟนี่ เขาแทบจะเปลือยกายเลยนะ นุ่งผ้าเตี่ยวอยู่นิดเดียว  ตรงหน้าอกก็มีผ้าแถบคาดไว้หน่อยปล่อยพุงล่อนจ้อน อีตรงพุงก็ยังอืดๆอยู่ เขานอนตะแคงเอาตรงพุงนี่แหละอยู่ตรงหน้าเตาไฟพอดี เหงื่อไหลเป็นมันไปทั้งตัว ดูน่าสงสาร

            เห็นแค่แว่บเดียวผู้เขียนก็ถอยหลังกรูดแล้ว รีบวิ่งกลับเข้าห้อง แม่กำลังตามหาตัวพอดี พอผู้เขียนถามว่า ที่เขานอนอยู่กะเตาไฟนั่นนะ เขาไม่ร้อนหรือแม่ แม่เขารีบเอามือมาปิดปากอีก เขากระซิบบอกว่า อย่าพูดคำว่าร้อน แล้วอย่าไปถามเขา เพราะไม่อย่างนั้นลูกไฟมันจะขึ้นแล้วเขาจะยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่

            คำว่าลูกไฟขึ้นนั้น ไม่ใช่ลูกไฟที่ฟืน ที่มันแตกเปรี๊ยะๆ แล้วกระจายขึ้นไปหรอก แต่เขาว่าจะเป็นลูกไฟที่ขึ้นบนตัวคนอยู่ไฟ ทำให้พองเป็นจ้ำๆ แบบนั้น

            ตั้งแต่เห็นภาพคนคลอดลูกสมใจแล้ว และเก็บเอาไปเล่าให้พรรคพวกฟังหมดแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ได้อยากเข้าไปในห้องนั้นอีกเลย เพิ่งมาเกิดความเข้าใจทีหลังว่า ทำไมเขาถึงไม่ยอมให้เด็กดู

            นอกจากการอยู่ไฟที่ดูน่ากลัวแล้ว เขาก็ยังมีการนั่งหม้อกันอีก คือ การเอาถ่านแดงๆ ใส่ในหม้อดิน เอาพวกยาสมุนไพรโรย  แล้วก็ให้แม่ลูกอ่อนขึ้นไปนั่ง แบบนั่งกระโถนฉี่ยังงั้น เขาว่าทำให้แผลแห้งเร็ว

            พอนั่งหม้อไฟแล้ว เขาก็ยังมีการนั่งหม้อเกลืออีก คือ การเอาหม้อดินใส่เกลือเม็ด ใส่ยาสมุนไพร แล้วเอาไปตั้งบนเตาไฟ พอหม้อเกลือร้อน เขาก็เอาใบพลับพลึงมาห่อหม้อนี่ให้มิด แล้วก็เอาไปกดประคบตามตัวแม่ลูกอ่อน ทำอยู่สองสามวันก็เลิก เปลี่ยนมาเป็นเข้ากระโจม

            ตอนแม่ลูกอ่อนเข้ากระโจมนี่ดูสบายเลยเพราะเขามาทำกันที่นอกชานบ้าน เอาไม้ยาวๆ ปักเข้าสามเส้า แล้วเอาผ้าห่มหนาๆคลุม ดูเป็นกระโจมอย่างดี แล้วเขาก็เอาหม้อดินใบใหญ่ ใส่ตัวยาต่างๆลงไปต้ม พอเดือดพลั่กๆดีแล้วก็เอาฝาปิด  ยกเข้าไปไว้ในกระโจม ให้ตัวแม่ลูกอ่อนมุดเข้าไป พอเข้าไปอยู่ในกระโจมแล้ว เขาก็ค่อยๆแย้มฝาหม้อออก ไอน้ำร้อนในหม้อมันก็จะพลุ่งขึ้นมารมมาอบกันอยู่ในนั้น  พอคลานกลับออกมางี้เหงื่อโชกทั้งตัวเลย เขาก็จะเอาน้ำยาในหม้อนั่นแหละมาอาบตัวแม่ลูกอ่อน สระผมสระเผ้า ขัดสีฉวีวรรณกันใหญ่ โดยใช้ใบยาในหม้อนั่นถูตัว มันคงจะมีพวกไพรหรือขมิ้นผสมอยู่ด้วย เห็นเหลืองลออไปทั้งตัว การทำทั้งหมดนี้หมอตำแยแกเป็นคนทำทั้งนั้น

            ไอ้ในกระโจมอบแม่ลูกอ่อนนี่ ผู้เขียนเคยลองมุดเข้าไป อีตอนที่เขาออกมาแล้วทีหนึ่ง โอ้โห... ขนาดน้ำในหม้ออุ่นลงแล้ว กลิ่นยายังพลุ่งๆ เหม็นจะแย่ ร้อนก็ร้อน อยู่ไม่ถึงอึดใจก็ต้องรีบคลานตาเหลือกมุดออกมา  ไม่รู้เขาทนนั่งกันอยู่ยังไงตั้งนาน

            พอหมดเรื่องอยู่ฟืนอยู่ไฟและเข้ากระโจมกันแล้ว ตัวแม่ลูกอ่อนก็พอจะเดินเหินพอทำอะไรได้เองบ้าง ที่นี้แหละเขาถึงจะเริ่มดงยาให้กิน (ผิดกับคนจีน ซึ่งเขาจะดองเอาไว้ก่อนคลอดเป็นเดือนๆ ) เอายากองเบ้อเร่อห่อผ้าขาวบาง แล้วเอาใส่ในขวดโหล  เอายี่สิบแปดดีกรีใส่ลงไปอย่างว่า ตั้งโหลเอาไว้ กินกันไปนานสองนาน บ้านผู้เขียนถึงต้องมียางดองสองโหล เพราะเรื่องมันเป็นอย่างงี้แหละ

            เฮ้อ...กว่าจะมาถึงโหลยาดอง สัมปทานหน้ากระดาษก็ดูเหมือนจะเข้าไปโขแล้ว เห็นจะต้องขอประทานอภัย ย้ายเรื่อง "เมาเหล้า" ไปไว้เล่มหน้าดีกว่า  เพราะเล่มนี้มัวแต่ "เมาเล่า" มากไปหน่อย รับรองเล่มหน้าจะเล่าเรื่อง เมาๆเหล้าๆ ชนิดออกฤทธิ์ออกเดชกันสุดขีดจริงๆ ไม่มัวแต่ "เมาเล่า" ไปเรื่องอื่นอีกแน่ๆ

            สาบาน



ที่มา ต่วยตูน เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๐
ปีที่ ๑๖ เล่มที่ ๑๑

2 ความคิดเห็น: