++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความสุขที่แท้จริง

ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้ว่าคนเราเกิดมาได้อย่างไร..
ตอนนี้เรียนแล้ว รู้แล้ว เมื่อลูกเป็นเด็ก ผมสอนลูกว่า
"ลูกเกิดมาจากความรักของพ่อแม่.."
พอลูกโตเป็นสาว เขาสอนผมกลับว่า .....
"ลูกเกิดมาจากความใจร้อนของพ่อ ร่วมกับความใจเร็วของแม่"
ผมก็ทำใจว่า เธอคงหมายถึง พ่อแม่ของเพื่อนที่พูดให้ฟัง
แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยรู้ว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร..
จนถึงเดี๋ยวนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่า ทำไมคนเราจึงต้องเกิดขึ้นมาในโลกนี้ด้วย

พระอริยสงฆ์บางรูปกล่าวว่า "มนุษย์เราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่"
แต่ผมฟังแล้วก็ยัง "ไม่เข้าใจ" อาจเป็นไปได้ ที่แต่ละคนเกิดมา
มีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน.. จุดมุ่งหมายที่ไม่เหมือนกัน
เป็นเหตุให้แต่ละคนมี หน้าที่แตกต่างกัน.....
แต่ไม่ว่าเราจะมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ต่างกันอย่างไร..
มนุษย์ก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นทุกข์ พ่อแม่มิได้ให้ลูกเกิดมา เพื่อที่จะเป็นทุกข์
พ่อแม่อยากให้ลูกมีชีวิต อย่างมีความสุข.. ทุกลมหายใจทุกขณะจิต..

และผมเชื่อว่า พ่อแม่ทุกคนก็รู้สึกเช่นนี้ตรงกัน
แต่ทุกวันนี้ คนเราดำเนินชีวิต ด้วยความทุกข์.. ทั้ง ๆ ที่เราทุกคนต้องดิ้นรน
ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ขยันทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อแสวงความสุขมาสู่ชีวิต..
แต่ผลพวงที่ได้กลับกลายเป็นความเครียด และปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า
เมื่อเราจัดการปัญหาอย่างหนึ่งผ่านพ้น ปัญหาอื่นๆ ก็ตามมา..
ราวกับว่าปัญหาไม่เคยได้รับการแก้ไข เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไป

คนโสดก็มีความทุกข์แบบคนโสด.. คนแต่งงานแล้วก็มีทุกข์แบบคนมีคู่
สามีภรรยาที่ยังไม่มีลูก ก็หนักใจแบบคนไม่มีลูก..
เมื่อมีลูกแล้ว ก็ใช่ว่าปัญหาจะหมดไป นอนอยู่กับบ้านก็รู้สึกเหงาหงอย
ออกไปเที่ยวนอกบ้านก็เหน็ดเหนื่อย คนจน-คนรวย ก็มีความทุกข์กันทั้งนั้น..
แต่ทุกข์ใจคนละแบบ ตอนผมเรียนแพทย์ ผมได้เงินจากพ่อแม่ 1,000 บาทต่อเดือน
ก็ไม่เดือดร้อน.. เรียนจบเป็นแพทย์แล้ว ได้เงินเดือนครั้งแรก 3,000 บาท
ก็พออยู่พอกิน ไม่เป็นทุกข์.. เดี๋ยวนี้รายได้มากขึ้นหลายสิบเท่า..
ความทุกข์กลับเพิ่มพูนตาม ชีวิตเริ่มมีสิ่งต่างๆ มาผูกพันมากขึ้น
สิ่งที่ไม่เคยต้องมี เพื่อการดำรงชีวิตในอดีต กลายเป็นสิ่งจำเป็น อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ รถเก๋ง เคเบิลทีวี...
และอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด.. นี่ยังไม่รวมเครื่องประดับเลิศหรู
อีกทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง.. ซึ่งไม่เคยทำให้เรา สัมผัสความสุขที่แท้จริงสักครั้ง
สังคมบริโภคนิยมค่อย ๆ ปลูกฝังโปรแกรมสมองของเรา ให้เชื่อตามแรงโฆษณา
เพื่อการเสพสินค้าที่เขาผลิต.. เจ้าของสินค้ามีแต่รวยขึ้น ๆ
ขณะที่พวกเรามีหนี้สินพอกพูน คนส่วนใหญ่แสวงหาความสุข
โดยการเสพ หรือบริโภคสิ่งต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง
รวมทั้งการปรุงจินตนาการ คนเราหาเงินมาก ๆ
เพื่อเพิ่มกำลังซื้อวัตถุ หรือบริการต่างๆ เพื่อให้ได้ "สุขสัมผัส.." เห็นภาพสวยๆ
ฟังดนตรีท่วงทำนองไพเราะ ดมกลิ่นหอม ชิมรสชาติอาหารแสนอร่อย
และการสัมผัสที่อ่อนนุ่ม แสนสบาย กามารมณ์ ก็เป็นเพียงความสุขทางผิวหนัง
ยาเสพย์ติด ก็สร้างความสุขเคลิบเคลิ้มทางอารมณ์ และจินตนาการ..

แต่ทั้งหมดนี้เป็นความสุขชั่วคราว ไม่ถาวร..เป็นโลกีย์สุข..
เป็นความสนุกสนาน รื่นเริง บันเทิง ตื่นเต้น เร้าใจ
ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าชีวิตเราจะเสพสิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่กล่าวมา เพราะคนไม่ใช่หุ่นยนต์
เรามีจิตใจที่ต้องการเครื่องหล่อเลี้ยง..
แต่ต้องเสพอย่างมีสติ ต้องรู้เท่าทัน ไม่ลุ่มหลงจนตกเป็นทาส..
เพราะการเสพสุขดังกล่าว มักมีผลข้างเคียง (Side effect) ตามมาในชีวิต
บางคนอาจเสพสุข จากสัมผัสที่ละเอียดมากขึ้น เช่น การชื่นชมผลงานศิลปะ
และความงดงามของธรรมชาติ.. สิ่งเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อ
เพราะมีอยู่รอบตัว ทั้งความงดงามอ่อนช้อย ของลวดลายหน้าบัน โบสถ์ วิหารของวัดใกล้บ้าน
หรือแม้แต่การใช้เวลาสั้นๆ ดูดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงจันทราแจ่มเต็มดวง
มวลหมู่เมฆที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เม็ดฝนโปรยปราย..
เป็นความสุขสงบเย็นสบาย ผ่อนคลาย นำไปสู่ความซาบซึ้ง
ในความงดงามของธรรมชาติ การจ่อจมกับความสุขอย่างแรกจนขาดสติ
อาจก่อเกิดทุกข์อันเรื้อรัง เสี่ยงอันตราย เสื่อมเสียเกียรติ..
เจ้าของชีวิตต้องใช้ดุลพินิจ ว่าคุ้มค่าหรือไม่..
เมื่อต้องแลกกับความสนุกชั่วประเดี๋ยว - ความเสียวชั่วประด๋าว
ความสุขอย่างหลัง นำไปสู่การพัฒนาทางจิตใจ เป็นหนทางที่สร้างสรรค์
นำชีวิตไปสู่ความเจริญ.. และเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้
สำหรับผู้เป็นสุดที่รักของพ่อและแม่


่ เรียบเรียงโดย : น.พ.สุกมล วิภาวีพลกุล (จิตแพทย์) นิตยสารกุลสตรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น