++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ถ้าจะรวย ก็ขอให้รวยสุขภาพเถอะ


เมื่อคุณผู้อ่านได้อ่านบท ความนี้ ก็คงจะเลยปีใหม่ไปหลายวันแล้ว ไม่เป็นไรครับ สายไปหน่อย แต่ความจริงไม่สายเลย เพราะผมเขียนเรื่องนี้ ขณะ วันปีใหม่พอดี จึงขออวยพรด้วยความจริงใจ ถึงท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ไม่อวยพรให้ร่ำรวยเงินทอง อย่างที่หลายท่านต้องการ หรอกครับ แต่ขออวยพรให้ท่านมีสุขภาพดี และมีความสุขทั้งกายและใจ


อย่าไปบ้าตามคำอวยพรของใครต่อ ใครทั้งหลายที่เห็นอวยพรกันเกลื่อนในทีวี "นึกถึงเงินแสนขอให้ได้แสน เงินล้านขอให้ได้ล้าน" อย่าไปมัวตั้ง หน้าตั้งตาหาแต่เงินแต่ทองเลย ถ้าอยากจะรวยก็ขอให้รวยสุขภาพ รวยสุข-ภาพจนล้นฟ้า จึงจะมีความสุขโดยแท้จริง


ปีใหม่ปีนี้ผมไปนอนเงียบๆคนเดียวอยู่ที่ไร่ที่แม่ริม ซึ่งคิดว่าห่างไกลความจอแจของสังคมสมัยใหม่ดีพอสมควร หวังว่า จะได้อยู่กับธรรมชาติเงียบๆ อยู่กับป่าโปร่งภูเขาสูงและความหนาวเย็นแสนบริสุทธิ์


แต่ตลอดเวลาปี เก่าและเริ่มปีใหม่ซึ่งอยู่บ้านนอกห่างไกลแสงสี และความเอะอะอึกทึกของชาวเมืองอย่างนั้น ก็กลายเป็นบรรยากาศของชาวนรกขึ้นมาจนได้ เริ่มต้นจากเสียงเครื่องกระจายเสียงจากวัดซึ่งผมเคยทำบุญมานาน สมัยที่วัดยังมีแต่พระองค์เดียว จนกระทั่ง


กลายเป็นโบสถ์ถาวร มีพระหลายองค์ และกลายเป็นศูนย์กระจายข่าวของตำบลกระจายเสียงลั่นโลกอยู่เกือบจะทุกวันขณะนี้


พอตอนบ่ายก็เสียงลั่นจากวงดนตรีของร้านอาหารและร้านเหล้า พอตกค่ำก็มีแก๊งมอเตอร์ไซค์นับเป็นร้อยๆคัน ไม่ทราบมาจากไหน ระคนกับเสียงจุดประทัด จุดพลุดังตึงตัง และที่ร้ายที่สุดก็คือเสียงตะโกนด่า ทอตบตีกันระหว่างพวกขี้เมา-นักท่องเที่ยว และเด็กผู้หญิงทั้งคนดีและไม่ดี อาละวาดกันมาจนถึงหน้าบ้านผมเองตลอดคืน


ลองถามพวก เพื่อนๆซึ่งหลบความจอแจเอะอะของปีใหม่มาหาความเงียบ ก็เล่าให้ฟังว่า เป็นเหมือนกันหมดทุกแห่ง ทุกตำบลเล็กๆของเชียงใหม่เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเมืองคาวบอย


เหมือนอย่างในทีวีไม่มีผิด ยิ่งเป็นตำบลซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ กลับยิ่งอึกทึกเสียยิ่งกว่าในเมืองเสียอีก


ความสงบเงียบ การยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความเอื้ออารีและอัธยาศัยไมตรีแบบชาวบ้าน เดี๋ยวนี้หายไปไหนหมดก็ไม่ทราบ


ผมนึกถึงครูของผมคนหนึ่ง คือ ดร.ไลนัส พอลลิ่ง นักเคมี ฟิสิกส์ ผู้มีชื่อเสียงก้องโลก ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวในโลกที่ได้


รับรางวัลโนเบลถึงสองครั้งติดต่อกัน


ท่านได้รับรางวัลโนเบล ครั้งแรกเมื่อปี 1954 ในด้านเคมี และอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี 1962 ในฐานะเป็นผู้นำในด้านใฝ่หาสันติภาพ


ผมจำภาพ 3 ภาพของท่านได้ติดตา ภาพ แรก เป็นภาพของคุณครูอายุประมาณ 40 กว่าปี แต่งตัวด้วยสูทค่อนข้างจะปอนๆ ใส่หมวกแบเรต์ แบบฝรั่งเศสซึ่งมีจุกเล็กๆอยู่กลางศีรษะ พอเข้าห้องเลกเชอร์ ท่านก็หันหน้าเข้ากระดาน เริ่มต้น เขียนสูตรเคมี และก็เขียนต่อๆไปตามสูตรซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ท่าน เขียนๆๆอยู่ร่วมชั่วโมงจนจบสูตร แล้วท่านก็หันหน้ามาที่ผู้ฟัง ยกมือสองข้างจับขอบเสื้อ ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจเหมือนเด็กๆที่ได้ของเล่น แล้วก็อธิบายสูตรเคมีนั้นต่อผู้ฟัง


ผมจำยิ้มซึ่งซื่อและบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆของท่านติดตามาจนบัด นี้


ภาพที่สองเป็นภาพของครูไลนัส พอลลิ่ง ซึ่งขณะนั้นอายุเกือบ 65 ปีแล้ว ท่านนั่งร่วมกับผู้ ประท้วงกลางถนนอีกหลายหมื่นคน ท่านเป็นหัวหน้าประท้วงกลางถนนการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ท่านไม่ต้องการให้ประเทศใดในโลก ทดลองการสร้างอาวุธนิวเคลียร์อีกต่อไป เพราะนิวเคลียร์จะล้างโลกและล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หมดไปจากโลกนี้ ท่านไม่ ต้องการเห็นมนุษย์ฆ่าฟันกัน ท่านต้องการสันติภาพ


ผลของการประท้วงคราวนั้น ท่านถูกตำรวจอุ้มจากถนน ไปขึ้นรถ นำไปขังและควบคุมตัวในฐานะผู้ก่อความไม่สงบ ท่านถูกฟ้องร้องและถูกกล่าวหาจากกลุ่มนักการเมืองฝ่ายขวาคือ แม็คคาร์ธีว่า ท่านเป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์ในอเมริกา ขณะนั้นมีกระแสต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอเมริการุนแรงมาก


ผม จำหน้าตาและท่าทางของท่านเมื่อถูกตำรวจอุ้มไปขึ้นรถคุมขังได้ติดตา ยิ้มของท่านยังคงเป็นยิ้มที่เมตตา เป็นยิ้มสดใสและบริสุทธิ์เช่นยิ้ม ของเด็กๆเช่นเดิม


และท่านก็พ้นจากการถูกกล่าวหา และกลับได้รับรางวัลโนเบลเป็นครั้งที่สอง ใน ฐานะผู้ต่อสู้เพื่อสันติภาพของโลก


ครั้งที่สาม เป็นภาพของท่านในงานวันสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ผมเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมจัดงานกับท่าน และท่านเป็นประธานกรรมการผู้จัดงาน


เราจัดงานเล็กๆกันหน้าตึก สหประชาชาติที่นิวยอร์ก ที่หน้าตึกจะมีระฆังใหญ่แขวนอยู่บนราวไม้หน้าลานตึก หน้าระฆังใหญ่นั้น จะมีท่อนไม้ใหญ่แขวน อยู่สำหรับตีระฆัง


เมื่ออ่านประกาศสิทธิมนุษยชนแล้วท่านค่อยๆก้าวไปหน้าระฆัง หันหน้าไปยิ้มกับ กลุ่มเล็กๆผู้เข้ามาร่วมงาน แล้วท่านก็ตีระฆังดังเหง่งๆสามครั้ง


ยิ้มครั้งนั้นก็ยังเป็นยิ้มอันเดิมเต็มไปด้วยความรัก ซื่อและบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆเช่นเดิม


ปีใหม่ที่แม่ริมซึ่งแสนจะอึกทึกและบรรยากาศเต็มไปด้วยความ เมามายทะเลาะ-เบาะแว้งเช่นนั้น ทำให้ผมนึกถึงอาจารย์ไลนัส พอลลิ่งมากยิ่งขึ้น นึกถึงท่านในวันปีใหม่นี้ด้วยเหตุ 3 ประการ


ประการแรก ท่านเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องของสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพและวิถี ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติ รางวัลโนเบลด้านเคมีของท่านนั้น รวมถึงการค้นคว้าและเผยแพร่ในเรื่องวิตามินและแร่ธาตุ ท่านเป็นต้นตำรา ORTHOMOLECULAR ซึ่งเป็นตำราด้านชีวเคมีของวิตามิน และแร่ธาตุซึ่งศึกษากันทั่วโลกขณะนี้


ประการที่สอง ท่านเป็นผู้ที่ต่อสู้ในด้านสันติภาพของโลก และแน่นอนในเรื่องสันติภาพของโลกนั้นย่อมรวมเอาเรื่องความรัก ในมนุษยชาติเข้าไว้ด้วย


ประการที่สาม ท่านเป็นตัวอย่างของผู้ที่ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและใช้ความเรียบง่ายและความรู้ ที่ท่านค้นคว้าเรื่อง ORTHOMOLECU-LAR นี้มาใช้ในเรื่องสุขภาพของท่าน ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีอายุยืนที่สุด เสีย ชีวิตเมื่ออายุ 94 ปี เมื่อแปดปีที่แล้วมานี้เอง


ปีใหม่นี้ ขอให้ท่านผู้อ่านรุ่มรวยด้วยการมีสุขภาพกายและใจที่ดีและ สมบูรณ์เถิด.


# # # # # #


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น