++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การค้นหาที่รู้จักจบ


การค้นหาที่รู้จักจบ

ชีวิตมีแค่..................................................นี้

สาธุชน คนธรรมดา

                              การค้นหาที่รู้จักจบ

                      คนเราเกิดมาเป็นเจ้าตัวน้อยได้ก็เพราะความรักจากพ่อแม่ เป็นเช่นนี้มาหลายชั่วอายุคนแห่งมนุษย์หรือเป็นมาหลายชีวิตที่เรียกว่าเป็นกันมาหลายภพหลายชาติ
                      หมุนวนเช่นเดียวกันกับวังน้ำวนที่หมุนไปตามกระแสน้ำวนที่ไหลเชี่ยวแรงหรือไหลกรากนั้น
                      ตั้งแต่ลืมตาดูโลกกันมาทุกคนก็ร้องหาสิ่งที่ร่างกายต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร อาการไม่สบายตัว จนต้องร้องขอความช่วยเหลือบรรเทาอาการจากความเจ็บปวดทุกอย่าง เช่นปวดท้อง ปวดตัว ปวดหัว เป็นไข้เป็นต้นจากผู้คนรอบข้าง
                      หลังจากนั้นก็ค้นหาคำสรรพนามหรือนามแทนตัวแทนตน แทนผู้อื่น แทนสรรพสิ่งในโลกตามคำบอกเล่าที่บอกสืบต่อกันมา จนเป็นการยากที่จะสืบค้นหาต้นแหล่งของคำบางคำ เช่นผู้หญิง ผู้ชายหรือทำไมต้องเรียกผู้หญิงว่าแม่ เรียกผู้ชายว่าพ่อ ใครเป็นคนตั้งสรรพนามนี้
                      ผ่านช่วงชีวิตนั้นหรือผ่านวัยแห่งการกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู กล่อมคือกล่อมให้หลับสบาย เกลี้ยงคือทำให้สะอาดกาย เลี้ยงดูก็คือป้อนข้าวป้อนน้ำจนเติบใหญ่ ไปนั่นไปนี่ได้แล้วก็เริ่มไปเรียนรู้หรือค้นหาจากภายนอก ไม่ว่าจะหาความรู้จากภายในบ้านหรือภายนอกบ้าน
                      ค้นหาเพื่อนๆเพื่อที่จะนั่งเรียนหนังสือด้วยกัน วิ่งเล่นด้วยกัน ทะเลาะกันเพราะขัดใจกัน จนอาจจะถึงตีกันเพราะแย่งของเล่นของกินกันไปตามภาษาเด็ก และขาดเสียไม่ได้ก็คือเอาเรื่องภายนอกบ้านมาเล่าให้คนในบ้านฟัง และกลับเอาเรื่องในบ้านไปเล่าให้เพื่อนๆฟัง
                      การเติบใหญ่ทางกายทำให้เริ่มค้นหาความรักจากภายนอกบ้านแล้ว ด้วยฮอร์โมนในร่างกายที่ฉีดอัดแรงขึ้นและทำให้ร่างกายและใจมันเรียกร้องหา
                     หาแฟนไปเรื่อยจนเรียนจบหรือไม่จบ ก็ขยับฐานะกันไป ถ้าเขยิบลงก็เป็นกิ๊ก ถ้าเขยิบขึ้นก็เป็นเมียหรือภรรยา บ้างก็เลยไปเรียกว่าผอบอทอบอ
                     พอเรียนจบหรือไม่จบเมื่อเติบใหญ่ก็จำเป็นต้องค้นหางานทำเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง บางคนก็อาจจะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา ซึ่งนับวันๆจะหาได้ยากกับคนแบบนี้ในโลก
                     จึงมีสำนวนหนึ่งออกมาว่า"ในโลกนี้คนไม่เอาพ่อเอาแม่มีเยอะ แต่คนไม่เอาเงินนนั้นไม่ม๊"
                     เมื่อมีงานทำมีเมียแล้วก็มีลูกมีหลานสืบต่อกันไปเรื่อย
                     การค้นหาสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าความสุขที่มันสนองใจให้ฟูตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ อัญมณีหรืออาหารอร่อย เพลงรื่นหู ไปจนถึงบรรยากาศต่างๆที่ให้ความรู้สึกเป็นสุขในอารมณ์นั้นๆ
                     บางคนตั้งแต่เกิดจนถึงตายได้พบแต่สิ่งสนองความต้องการของตนเองได้แทบทั้งหมด แต่สิ่งที่ไม่ต้องแสวงหาตั้งแต่เกิดมาก็คือความแก่ ความเจ็บ ตายที่ต้องตามมา จึงได้รู้จักทุกข์จริงๆจังงเพราะร่ำรวยในโภคทรัพย์
                      แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกผู้คนล้วนขาดแคลนในโภคทรัพย์ เพราะต้องการแสวงหาโภคทรัพย์อยู่ตลอดเวลา คนมีเงินเป็นพันล้านก็อยากมีเงินเป็นหมื่นล้าน แต่คนที่ไม่มีเงินมากขนาดนั้นมีรองเท้าสามคู่ก็ยังอยากมีคู่ที่สี่ ทุกข์จึงดูเหมือนจะเสมอกันระหว่างคนที่ร่ำรวยและคนที่ยากจนกว่า เพราะไม่รู้จักคำว่าพอ
                     เพราะความร่ำรวยในทางวัตถุที่ตอบสนองอารมณ์ที่เรียกว่าความสุขได้มาก แต่เป็นความสุขที่ไม่จีรังเป็นความสุขอันหยาบ ผู้ที่เห็นความจริงเช่นนี้ จึงแสวงหาหรือค้นหาความสุขอันประณีต ที่ไม่มีวัตถุอื่นใดตอบสนองได้หรือใครจะตอบสนองได้
                      พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เอง ท่านก็ค้นหาความสุขอันประณีตมานาน ตั้งแต่เป็นสิทธัตถะพระราชกุมาร( สิทธัตถะแปลว่าผู้ที่สมความปรารถนาแล้ว) และได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายที่ในสมัยนั้นจะพึงมี แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์เห็นหรือหาพบเลยในความสุขอันประณีต
                      พระทรงเรียนรู้มามากต่อมากจากครูบาอาจารย์มากมายหลายต่อหลายท่านที่ล้วนมีชื่อเสียง แต่พระองค์ก็ทรงค้นพบว่าไม่ใช่หนทาง
                      แม้กระทั่งทรงออกบวชหรือทรงออกผนวช ก็ทรงฝึกฝนไปในทางสุดโต่งทั้งสองหรือทางสองแพร่งว่าไม่ควรเสพ คือ กามสุขัลลิกานุโยค คือการบำเพ็ญตนให้หมกมุ่นอยู่ในกามตัณหา อย่างหนึ่ง, และ อัตตกิลมถานุโยค คือ การบำเพ็ญตนให้ลำบาก ด้วยข้อปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง อย่างหนึ่ง
                     ในท้ายที่สุดพระองค์จึงทรงค้นหาและพบความสุขอันประณีตจากทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา อันประกอบด้วยองค์ 8 ที่เรียกว่า มรรคมีองค์ 8 คือ
1) สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
2) สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
3) สัมมาวาจา การเจรจาชอบ
4) สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ
5) สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ
6) สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ
7) สัมมาสติ ความระลึกชอบ
 สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ
                     ทรงปฏิญญาการได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ 4 ด้วย ญาณ 3 คือ สัจจญาณ, กิจจญาณ, และ กตญาณ ทรงรู้อย่างไร
                     ทรงรู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ และรู้มรรค ว่าแต่ละอย่างนั้นคืออะไร อะไรเป็นตัวทุกข์ อะไรเป็นตัวสมุทัย อะไรเป็นตัวนิโรธ และอะไรเป็นตัวมรรค การรู้อย่างนี้เรียกว่า สัจจญาณ คือ รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง โดยจำแนกออกเป็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
                     ทรงรู้อีกว่า ทุกข์นั้น เป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ (ปริญเญยย, หรือปริญญาตัพพธรรม), สมุทัย เป็นธรรมที่ควรละ (ปหานตัพพธรรม), นิโรธ เป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง(สัจฉิกาตัพพธรรม) และ มรรค เป็นธรรมที่ควรทำให้เจริญขึ้น (ภาเวตัพพธรรม)
                     การกำหนดรู้กิจในอริยสัจจ์ 4 อย่างนี้ เรียกว่า กิจจญาณ คือรู้ว่าจะทำอะไรกับสิ่งที่พระองค์ได้รู้แล้ว
                     ในอันดับสุดท้ายทรงรู้อีกว่า กิจทั้ง 4 อย่าง ในอริยสัจจ์ 4 แต่ละอย่างนั้น พระองค์ได้ทรงกระทำเสร็จสิ้นแล้ว คือ ทุกข์ก็ได้กำหนดรู้แล้ว, สมุทัยก็ได้ปหาณแล้ว, นิโรธ ก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว, มรรคก็ได้เจริญแล้ว  การรู้อย่างนี้เรียกว่า กตญาณ.
                      นั่นคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และเข้าสู่ความสุขอันประณีต โดยค้นพบจากกายและใจของพระองค์เอง ที่ผู้ที่มีศรัทธาที่เรียกว่า"ตถาคตโพธิสัทธา"ก็สามารถที่จะค้นหาความสุขเช่นนี้ ความสุขอันประณีตที่เกิดจากภายในตื่นรู้จากภายใน จบสิ้นการค้นหา จบสิ้นการเวียนว่ายกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายเพราะความไม่รู้ ปรุงแต่ง ตัณหา อุปทานเพื่อพบโมกขธรรมหรือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น
                     เเต่ผู้คนแทบทั้งโลกยังอยากจะค้นหาความสุขเช่นไรหรือเพียงสักแต่ว่าสุขกายสุขใจเพียงชั่วประเด๊่ี๋ยวประด๋าวแล้วจมทุกข์ไปชั่วชีวิต ข้ามภพข้ามชาติเพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวใช่ตนกันต่อไป
                     ท้ายนี้สรุปด้วยคำพูดว่า "เย ธมฺมาเหตุปฺปภวา ....เอวํวาที มหาสมโณ" แปลได้ความว่า "ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ทรงตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และตรัสถึงความดับไป (เพราะการดับแห่งเหตุ) ของธรรมเหล่านั้นด้วย พระมหาสมณะ มีปกติ ตรัสอย่างนี้"
                     คำกล่าวของท่านอัสสชิ หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ ที่ได้กล่าวกับอุปติสสมาณพ (สารีบุตร) เอวัง

                                                                 สาธุชน คนธรรมดา
               
                   ตามหาแก่นธรรมออนไลน์ อาจจะทิ้งช่วงไปนานหน่อยนะครับเพราะผู้เขียนบางท่านติดงาน บางท่านใช้เวลาฝึกฝนตนเอง บางท่านอยู่ในช่วงค้นหาสิ่งที่ตัวเองอยากรู้จริงๆว่าใช่หรือไม่ และบางท่านก็เป็นอาจารย์ที่สอนทั้งทางโลกในมหาวิทยาลัยและทางธรรมในมหาวิทยาลัยชีวิต แต่ก็ไม่ลืมที่จะพยายามฝึกตนในทางที่เรียนรู้มา
                  ผู้เขียนก็ยังยืนยันกับท่านผู้อ่านเสมอๆว่าตามหาแก่นธรรมไม่ได้เป็นบทความมหัศจรรย์อะไร แต่เป็นเพียงบทความพื้นๆติดดิน ที่ใครๆก็รู้ เพียงแต่ว่าจะรู้กันอย่างไร เพราะเห็นมัวแต่หากันอย่างไม่รู้จักจบสิ้นกันแทบทั้งนั้น ขอให้เจริญในธรรมทั้งหลายยิ่งๆขึ้นไปครับ

                                                         
                                                                  สะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น